มติชน สมาร์ทบิซ วันที่ 4 ก.ค.2559
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ไทยได้รับการปรับสถานะขึ้นเป็นเทียร์ 2 วอตช์ลิสต์ จากที่เคยถูกจัดอยู่ในระดับเทียร์ 3 ตั้งแต่ปี 2557 ว่า ในระยะสั้นทำให้ภาพลักษณ์สินค้าไทยด้านแรงงานดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารทะเล ซึ่งผู้นำเข้ารายใหญ่ และผู้บริโภค ให้ความสำคัญอย่างมาก รวมถึงจะเป็นผลดีต่อการตรวจสอบเรื่องการประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU จากสหภาพยุโรป ซึ่งไทยติดสถานะใบเหลืองอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนในระยะยาว จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการส่งออกและการแข่งขันที่เข้มแข็งขึ้น เพราะหากควบคุมการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมายสากลได้ จะช่วยลดการกีดกันทางการค้า และลดการโจมตีจากกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารทะเลได้ อีกทั้งยังเกิดผลดีทางจิตวิทยาต่อผู้บริโภค ผู้นำเข้า และผู้ประกอบการค้าปลีกในการสนับสนุนสินค้าและบริการของไทย ทำให้การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าประมง น้ำตาล อ้อย และสิ่งทอ
สำหรับ 5 เดือนแรกของปี’59 ไทยส่งออกสินค้าอาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป 1,532 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.4% คิดเป็น 1.76% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ในขณะที่สินค้ากุ้ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการใช้แรงงานบังคับในการจับปลามาทำปลาป่น ซึ่งเป็นวัตถุดิบอาหารกุ้งนั้น ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อให้มีระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปตลอดห่วงโซ่อุปทาน และเป็นการเตรียมความพร้อมต่อกฎระเบียบใหม่เรื่อง Traceability ของสหรัฐ ที่กำลังจะบังคับใช้ โดยในปัจจุบันไทยส่งออกกุ้งเป็นมูลค่า 574 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 0.6% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยมีสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกหลักด้วยสัดส่วน 41%
อย่างไรก็ดี ในตลาดยุโรปหรืออียู การส่งออกสินค้ากุ้งของเราที่ลดลงนั้น มีเหตุผลหลักมาจากเราถูกตัดจีเอสพี (สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร) โดยสินค้ากุ้งแปรรูปต้องเสียภาษีสูงขึ้นจากเดิม 12% เพิ่มเป็น 20 % และกุ้งสดแช่แข็งจาก 7% เพิ่มเป็น 12%
