มติชน สมาร์ทบิซ วันที่ 22 ส.ค.2559
ในช่วงเกิดเหตุระเบิดหลายจังหวัดภาคใต้ นักลงทุนบางส่วนได้ทำชอร์ตเซลเก็งกำไรใน 5 หุ้นใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท
เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 11 ถึง 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง โดยดัชนีเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม อยู่ที่ 1,531.63 จุด จากวันที่ 11 สิงหาคม ที่อยู่ระดับ 1,552.64 จุด ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว พบว่ามีนักลงทุนบางส่วนได้เข้ามาทำธุรกรรมการยืมหุ้นเพื่อขายล่วงหน้า หรือ Short Sell
โดยมูลค่าหุ้น 5 อันดับแรกที่ถูกชอร์ตเซลสูงที่สุด ประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย 1,262.86 ล้านบาท , ปตท. 528.34 ล้านบาท , ทรู 527.65 ล้านบาท , บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM 484.76 ล้านบาท และ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL 471.16 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 3,300 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิด ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ สำนักวิจัยทิสโก้ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิดทางภาคใต้ นักลงทุนเข้ามาทำชอร์ตเซลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.38% ของปริมาณการซื้อขายรวม มากกว่าเมื่อเทียบกับการทำชอร์ตเซลตามปกติที่จะอยู่ระดับ 1.0 ถึง 1.05% โดยสาเหตุการชอร์ตเซลน่าจะมาจากนักลงทุนกลุ่มหนึ่งประเมินว่า สถานการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว จะทำให้ตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวลดลงโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ จึงได้เข้ามาดักทางทำกำไรไว้ ซึ่งผลตอบแทนจากการทำชอร์ตเซลครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 2% แต่จะเห็นว่ามีบางหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นไม่ได้ปรับตัวลดลงตามที่คาดกันไว้ เช่น PTT จึงส่งผลให้นักลงทุนที่ประเมินทิศทางผิดพลาด เกิดภาวะขาดทุนจากการทำชอร์ตเซลบ้าง เพราะไม่สามารถหาซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่าขายล่วงหน้าไปก่อนได้
สำหรับปัจจัยที่แนะนำให้นักลงทุนจับตาหลังจากนี้ คือ การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ ในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ด้วย ซึ่งจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงได้ และจะเป็นจังหวะที่อาจเกิดการชอร์ตเซล นอกจากนี้ประเมินว่า หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปจนแตะระดับ 1,600 จุด จากผลของข่าวดีต่างๆ เช่น การปรับประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของนักวิเคราะห์ อาจจะส่งผลให้เกิดแรงชอร์ตเซลในช่วงนั้นได้เช่นกัน
