นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานหอการค้าไทย-จีน บอกว่า หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลให้ราคาทองคำลดลง โดยในเดือนธันวาคมนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ที่มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ราคาทองคำมีโอกาสต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ยังอยู่ในกรอบที่คาดไว้ทั้งปีนี้ ที่ 1,150-1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสสูงที่จะต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท
แต่คาดว่าเมื่อสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจจะมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (คิวอี) ตามมา เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ดีเท่าที่ควร สิ่งตามมาคือค่าเงินบาทจะอ่อนลง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเรื่องราคาทองคำ
สำหรับการซื้อขายทองคำในประเทศเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่และตรุษจีน จะไม่คึกคักนัก เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ค่อยดี รวมถึงราคาพืชผลเกษตรอยู่ในระดับต่ำ แต่เชื่อว่าในปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากที่แย่มาหลายปี
สอดคล้องกับนายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก มองว่า มีโอกาสที่ราคาทองคำจะลดลงไปต่ำกว่าบาทละ 1 หมื่น 9 พัน 5 ร้อยบาท ปัจจัยหลักก็จากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือนธันวาคมนี้ แนะนำให้นักลงทุนที่สนใจซื้อทองคำเข้าซื้อหลังเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ย
หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ทำให้นักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับลดลงบาทละประมาณ 1,300-1,400 บาท จึงเห็นแรงนำเข้าทองคำของร้านทองเพื่อเก็บไว้ผลิตเป็นทองรูปพรรณเก็งกำไร เพื่อนำออกมาจำหน่ายเมื่อราคาเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งลดปริมาณการส่งออกเพราะหากส่งออกช่วงนี้ทางร้านทองจะไม่ได้กำไร
