หุ้นไทยยังแดงเถือก ส่อหลุด 1,600 จุดยาว ต่างชาติไม่หยุดขาย มิ.ย.ขนเงินกลับ 48,650 ล้าน โบรกฯแนะกำเงินสด

A Thai man watches a stock index board at a bank in Bangkok on October 18, 2016. / AFP PHOTO / MANAN VATSYAYANA

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ และปิดตลาด ณ วันทำการสุดท้ายของสัปดาห์นี้ที่ระดับ 1,595.58 จุด ลดลง 3.96 จุด หรือลดลง 0.25% ดัชนีทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 1,609.86 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,584.68 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุดในรอบ 5 วันที่ 64,520.47 ล้านบาท แบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,304.33 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 3,040.50 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 2,823.25 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 1,087.08 ล้านบาท โดยหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ PTTGC PTT PTTEP AOT และ CPALL

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า มูลค่าการซื้อขายสะสมตลอดทั้งเดือนมิถุนายน 2561 (1-29 มิถุนายน) แรงขายหุ้นไทยยังมาจากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งขายสุทธิหุ้นไทย 48,650.60 ล้านบาท และจากกลุ่มนักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิหุ้นไทย 14,333.74 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อหุ้นไทยสุทธิ 22,175.51 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิหุ้นไทย 40,808.83 ล้านบาท

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะหุ้นยังคงถูกกดดันจากแรงขายนักลงทุนต่างประเทศที่ลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐกับจีนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจะต้องติดตามต่อ เนื่องจากในสัปดาห์หน้า การเก็บภาษีสินค้านำเข้าของทั้ง 2 ประเทศจะมีผลบังคับใช้ นอกจากตลาดยังกังวลเรื่องนโยบายการลงทุนของนักลงทุนในสหรัฐ ทำให้ภาพตลาดหุ้นในช่วง 1-2 วันก่อนสิ้นเดือนออกมาไม่ดีนัก

ขณะเดียวกันสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่า กลับมามีผลกระทบกับนักลงทุน เพราะฉะนั้นจึงต้องติดตามเรื่องสงครามการค้าในสัปดาห์หน้าว่าเป็นอย่างไร หากสถานการณ์คลี่คลายคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะยืนเหนือบริเวณ 1,620 จุด แต่หากสถานการณ์แย่ลงประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นจะปรับลงต่อ โดยคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,563-1,600 จุด

Advertisement

น.ส.นฤมล บุญสนอง กรรมการ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยกดดันจากแรงขายนักลงทุนต่างประเทศและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน แต่พื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศยังค่อนข้างเเข็งแกร่ง เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เงินเกินดุลสะพัด ตัวเลขภาคการส่งออกและความชัดเจนของการเลือกตั้ง ซึ่งสถิติจากที่ผ่านมา ก่อนจะมีการเลือกตั้ง 3-4 เดือน จะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นรีบาวด์หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้สัดส่วนลงทุนหุ้นอยู่ที่ 20% ตราสารหนี้ 30% และเงินสด 50%

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image