เมื่อเวลา 08.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณถนนทางเข้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการจัดระเบียบการเข้า-ออก และห้ามจอดรถบริเวณริมถนน เพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร ตลอดจนเพิ่มระดับความเข้มงวดการเข้าพื้นที่ ซึ่งต้องตรวจบัตรอนุญาตเข้าพื้นที่ของทุกคน หากไม่มีบัตรหรือทำบัตรหายจะไม่ให้เข้าไปในพื้นที่โดยเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องกันบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปสร้างความวุ่นวาย หรือกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ และมีการนำภาพพื้นที่ไปโพสต์ในออนไลน์ในทิศทางที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง บางคนก็มาในคราบของสื่อ ทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมาก ล่าสุดยอดเฉพาะสื่อมวลชนที่มาขึ้นทะเบียนไว้มากกว่า 1,000 คน ยังไม่นับรวมเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ กู้ภัย กรมอุทยานฯ และอื่นๆ ที่หมุนเวียนกันเข้าพื้นที่วันละไม่ต่ำกว่า 2,000 คน
ขณะที่การช่วยเหลือในเช้าวันนี้ ยังคงมีการเร่งสูบน้ำจากภายในถ้ำออกมาทางปากถ้ำเช่นเดิม ด้วยเครื่องสูบน้ำกำลังสูงและท่อส่งน้ำระยะไกล แม้จะยังไม่ทำให้น้ำแห้งจนสามารถนำเด็กๆ ทั้ง 13 คนออกมาได้ แต่ทำให้น้ำพร่องจนอยู่ในระดับที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปปฏิบัติการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการช่วยเหลือ โดยเฉพาะการวางถังออกซิเจนและเดินสายออกซิเจน รวมทั้งการเดินสายเคเบิลโทรศัพท์เพื่อสามารถติดต่อประสานกับทางเจ้าหน้าที่ชุดซีลและเด็กทั้ง 13 คนที่อยู่ภายในได้โดยสะดวกรวดเร็วขึ้น เพราะลำพังเจ้าหน้าที่่เดินทางเข้าเพื่อส่งข่าวประเมินความช่วยเหลือต้องใช้เวลาถึง 11 ชม. และในวันนี้เดียวกันนี้ ทางเจ้าหน้าที่จัดกำลังอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปสำรวจโพรงท้ายถ้ำ พบล่าสุดอีก 1 โพรง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจว่าจะทะลุไปยังจุดเนินนมสาวได้หรือไม่
ด้านนางศุภลักษ์ สมเพียงใจ แม่ของ ด.ช.พีระพัฒน์ หรือน้องไนท์ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจและไม่สบายใจที่เจ้าหน้าที่ต้องมาเสียชีวิตในภารกิจช่วยเหลือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ปกครองทุกคนต้องขอแสดงความเสียใจต่อญาติและครอบครัวของจ่าเอกสมาน กุนัน หรือจ่าแซมด้วย ทางตนและผู้ปกครองทุกคนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ซึ่งจ่าแซมเองถือเป็นผู้มีพระคุณและฮีโร่ของคนทั้งประเทศ ที่เสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ ช่วยเหลือน้องๆ ทั้ง 13 คน พร้อมกันนี้ต้องขอขอบคุณคนไทยทั้งประเทศและทั่วโลก ที่คอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือเด็กทั้ง 13 คน เป็นอย่างยิ่ง
