นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้อำนวยการ ฝ่ายตรวจสอบเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า กลุ่มเป้าหมายที่ของแฮกเกอร์ที่จะเข้ามาเจาะข้อมูล 3 ลำดับแรก คือ ภาครัฐ สถาบันการเงิน และเฮลแคร์ ล่าสุดมีข่าวที่สถาบันการเงิน 2 แห่งถูกแฮกข้อมูล ซึ่ง ธปท. ได้สั่งการให้สถาบันการเงินทุกแห่ง เข้าไปตรวจสอบระบบและปิดช่องโหว่แล้ว โดยข้อมูลที่ได้รับผลกระทบเป็นข้อมูลทั่ว ๆ ไป อย่างไรก็ตาม หากเกิดความเสียหายกับลูกค้าธนาคารพร้อมที่จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถือเป็นความเสี่ยงด้านไอทีที่สามารถเกิดขึ้นได้ ธปท. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกเกณฑ์การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT risk management) ของสถาบันการเงิน และภายในเดือนสิงหาคมนี้ จะเตรียมออกแนวทางการให้สถาบันการเงินมีการป้องกันเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงและสร้างความเสียหายเพิ่มมากขึ้น
นางบุษกร กล่าวว่า แม้ว่าจะมีการป้องกันอย่างเข้มข้นแต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะป้องกันได้ 100% เพราะแฮกเกอร์ก็มีพัฒนาการมากขึ้น จึงอยู่ที่ว่าจะสามารถตรวจสอบพบแฮกเกอร์หรือไม่ หากพบจะมีวิธีการรับมืออย่างไร ทั้งนี้ ไม่เฉพาะกับธุรกิจการเงินเท่านั้นความเสี่ยงด้านไอทีและภัยไซเบอร์ถือเป็นคงามเสี่ยงสำคัญของทุกองค์กรที่จะต้องเตรียมตัวรับมือในยุคดิจิทัล
รวมทั้ง ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลและเรียนรู้ โดยขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดตั้งหน่วยงานดูแลด้านการรักษาความปลอดภัย (Nation Cyber Security Agency) เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะมีการนำร่องใช้ใน 6 กลุ่ม อาทิ ภาคการเงิน เฮลแคร์ พลังงาน บริการสาธารณูปโภคภาครัฐ เป็นต้น และจะสนับสนุนให้กลุ่มเหล่านี้มีการรวมตัวกันจัดตั้งศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งในส่วนของสถาบันการเงินได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคธนาคาร หรือ TB-CERT (Thailand Banking Sector Computer Emergency Respone) ขึ้นแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ทางการเงิน นอกจากนี้จะมีกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ไซเบอร์เคียวริตี้) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมาด้วย
