แก๊งโรแมนซ์สแกมยังระบาด ปปง.-ตร.เตือนระวังหลงกล ‘รองโจ๊ก’ ฮึ่ม! เช็ก 1,400 ไนจีเรียนซุกไทย

เมื่อวันที่ 6 กันยายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(รองผบช.ทท.) พร้อมด้วย นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.และธนาคารกรุงไทย แถลงส่งมอบเงินของผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อแก๊ง ROMANCE SCAM จำนวน 1 ราย ในพื้นที่ สภ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ซึ่งถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงิน 155,200 บาท เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ 85,200 บาท

นายพีระพัฒน์ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ของคนร้ายจะติดต่อผู้เสียหายโดยใช้เฟซบุ๊ก อ้างว่าเป็นชาวต่างชาติและจะส่งสิ่งของหรือทรัพย์สินมีค่ามาให้โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินให้กับบริษัทขนส่งก่อน เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมในการนำสิ่งของนั้นเข้ามา เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีที่คนร้ายแจ้งไว้ หลังจากนั้นจะไม่สามารถติดต่อคนร้ายได้ จึงขอเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ พร้อมระบุที่ผ่านมา ปปง.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างจริง โดนเฉพาการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อคืนเงินให้กับผู้เสียหายต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าปัจจุปัน แก๊งโรแมนซ์สแกม กำลังระบาดอย่างหนัก โดยมีต้นแบบมาจากประเทศไนจีเรีย ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ที่มีชาวไนจีเรียอยู่อาศัยกว่า 1,400 คน ว่าทั้งหมดเข้ามาในไทยถูกต้องหรือกระทำความผิดหรือไม่ หากแจ้งว่ามาเที่ยวต้องเที่ยว มาเรียนต้องเรียนจริง หากพบว่ามีการกระทำผิดจะต้องถูกเพิกถอนยกเลิกวีซ่า และผลักดันออกนอกประเทศให้หมด รวมถึงดำเนินการเรื่องการยึดทรัพย์ด้วย สำหรับผลการปฎิบัติงานในการอายัดเงินของผู้เสียหายจากแก๊งโรแมนซ์สแกมหลอกลวงไปยังบัญชีคนร้ายให้กับผู้เสียหาย 9 ราย รวมเป็นเงินแล้วกว่า 2 ล้านบาท จากสถิติการรับแจ้งเหตุ 107 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 72 ล้านบาท

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงผลการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาคนไทยได้ทั้งหมด 16 ราย ส่งตัวมาให้ประเทศไทยดำเนินคดีแล้ว 10 ราย อีก6 รายติดขัดเรื่องขั้นตอนเอกสาร คาดว่าไม่เกิน2สัปดาห์จะส่งมาให้ดำเนินคดีครบทั้งหมด จากการสืบสวนผู้ต้องหาทราบว่าบางคนเคยก่อเหตุ ย้ายฐานปฏิบัติการตั้งแต่2-5 ครั้ง ถือว่ามีความชำนาญพอสมควร ซึ่งการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตำรวจดำเนินการจับกุมอย่างต่อเนื่องใน8ประเทศ ได้ผู้ต้องหากว่า 160 คน คนไทย109 คน คนไต้หวัน 44 คน มีการออกหมายผู้ต้องหาทั้งหมดกว่า 650 หมาย ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการแล้วกว่า 450 สำนวน ดำเนินคดีในข้อหาหลักคือร่วมกันช่อโกงประชาชน และมีส่วนกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และศาลได้พิจารณาพิพากษาจำคุกบางส่วนไปเรียบร้อยแล้ว

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image