นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยหลังการเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ระหว่างเครือข่ายสหกรณ์ประมงและโคเนื้อ และภาคเอกชนผลิตสินค้าเกรดพรีเมี่ยมเพื่อส่งออกว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ไทยได้รับการยอมรับทั้งจากผู้บริโภคภายในประเทศและต่างประเทศ เดิมมีการส่งออกไปยัง จีน ลาว และเวียดนาม ตั้งเป้าจะส่งออกเพิ่ม ขยายวงไปยังประเทศกลุ่มซีแอลเอ็มวี หรือกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ให้ความเชื่อถือในคุณภาพสินค้าไทยอยู่แล้ว โดยจะส่งออกภายใต้แบรนด์กลาง Fish Coop และ E-coop Beef ที่สหกรณ์พันธมิตรจะพัฒนาสินค้าสู่สินค้าเกรดพรีเมี่ยม ตั้งเป้าอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 67% ในปี 2562
ทั้งนี้ ยังมีสินค้าประมง อาทิ ปลานิล ปลกระพง กุ้งก้ามกราม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการส่งออกที่สำคัญ สร้างมูลค่าการส่งออกไม่น้อยกว่าปีละ 50,000 ล้านบาท ส่วนโคเนื้อเป็นอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ในประเทศ แต่ละปีมีการส่งออกโคเนื้อประมาณ 150,000 ตัว มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า สหกรณ์ประมงที่ดำเนินธุรกิจในตอนนี้มีจำนวน 69 แห่ง มีจำนวนสมาชิก 17,989 ราย ซึ่งสหกรณ์ที่สามารถส่งออกสินค้าประมงไปต่างประเทศ 3 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้ง น้ำท่าทอง จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี , สหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งตราดยั่งยืน จำกัด จังหวัดตราด และสหกรณ์นิคมบ้านสร้างพัฒนา จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งได้ส่งออกกุ้งขาวแวนาไม กุ้งกุลาดำ ปลาคังและปลานิลไปยังประเทศจีน มาเลเซีย และตะวันออกกลาง
ส่วนสหกรณ์ที่ทำธุรกิจส่งออกโคเนื้อ ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรหนองสูง จำกัด จังหวัดมุกดาหาร ตลาดหลักคือ จีน และเวียดนาม และในปี ที่ผ่านมาได้มีทดลองตลาดโดยการส่งเนื้อแช่แข็งไปที่ร้านอาหารในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจำนวน 3.6 ตัน มูลค่า 1.1 ล้านบาท
นายประวิทย์ นามเหลา ผู้จัดการ สหกรณ์การเกษตรหนองสูง จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์การเกษตรหนองสูงประสบความสำเร็จในการผลิตและจำหน่ายเนื้อโคขุน ซึ่งในแต่ละปีมียอดขายประมาณ 300 ล้านบาท การเข้าร่วมผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์กลาง ถือเป็นอีกช่องทางในการขายสินค้าเพื่อการส่งออก จึงเชื่อว่าปี 2562 สินค้าแบรนด์กลาง ที่มีกรมปศุสัตว์ช่วยเป็นพี่เลี้ยงและควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานการส่งออก
