เค้นสอบผู้ต้องหาคดีปลัดล่าหมีขอ เจออาวุธปืนเพิ่มอีก 2 กระบอก อุทยานฯขู่เพิกถอนสำนักสงฆ์หากรู้เห็น

แฟ้มภาพ

 

 

ความคืบหน้ากรณีที่ นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค ในฐานะผู้เสียหาย เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อส่งมอบวัตถุพยานที่พบ พร้อมทั้งให้ถ้อยคำในคดีที่ นายวัชรชัย สมีรักษ์ หรือ ปลัดแมน ปลัดฝ่ายป้องกันอำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี พร้อมพวกรวม 11 คน เข้าไปล่าหมีขอภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค โดยเข้าไปให้ถ้อยคำตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 9 ตุลาคม นายพนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้เรียกตนมาให้ถ้อยคำในฐานะผู้กล่าวหา และ นางสาว เนตรนภา งามเนตร ผช.หน.อช.ไทรโยค ในฐานะพยาน ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับหลักฐานที่พบค่อนข้างที่จะเป็นประโยชน์และเชื่อว่าซากสัตว์ที่พบเป็นซากของหมีขอและเป็นตัวเดียวกัน ดังนั้นหากผลตรวจดีเอ็นเอสามารถเชื่อมโยงได้ ก็จะทำให้พยานหลักฐานหนาแน่นมากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะเอาผิดกับผู้กระทำผิดได้ชัดเจน ส่วนกระสุนปืนที่พบขนาด 11 มม. ซึ่งในการจับกุมครั้งแรกไม่ปรากฏมาก่อนนั้น เชื่อว่าผู้ต้องหาได้ทำการซุกซ่อนอาวุธปืนดังกล่าวไว้ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจหาไม่พบ ล่าสุดทางพนักงานสอบสวนได้ซักถามกระทั่งผู้ต้องหายอมที่จะนำมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ ขณะนี้จึงทำให้มีอาวุธปืนของกลางเพิ่มขึ้นอีก 2 กระบอก คือ ขนาด .38 และ ขนาด .45 ซึ่งผู้ต้องหาแจ้งว่าได้นำติดตัวเข้าไปในที่เกิดเหตุด้วย ทำให้อาวุธปืนของกลางในคดีรวมเป็น 5 กระบอก

Advertisement

นายพนัชกรกล่าวว่าในวันพรุ่งนี้ตนพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และร้อยเวรเจ้าของคดี จะเดินทางเข้าไปบริเวณสำนักสงฆ์เต่าดำอีกครั้ง เพื่อตรวจหาวัตถุพยานเพิ่มเติม โดยจะเข้าไปตรวจในส่วนของกุฏิพระสงฆ์ด้วย และบริเวณโดยรอบที่เป็นที่พักแรม ซึ่งอาจจะพบซากชิ้นส่วนของหมีขอเพิ่มเติม โดยเฉพาะส่วนหัว ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ โดยจะเข้าพูดคุยกับเจ้าอาวาส พระสงฆ์ รวมทั้งผู้ดูแลสำนักสงฆ์ ด้วย  ทั้งนี้ตั้งแต่ตนมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าอุทยานฯ ไทรโยค นายวัชรชัย ไม่เคยขออนุญาตเข้าไปในพื้นที่ ส่วนกรณีที่รถยนต์ของกลางอาจจะมีการสวมทะเบียนหรือไม่นั้น ตรงนี้ไม่มีข้อมูล ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบต่อไป

“สำนักสงฆ์เต่าดำเป็นพุทธอุทยานจึงมีเงื่อนไขอยู่ เช่น ต้องไม่กระทำผิดเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ ต้องช่วยดูแลงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นที่สำนักสงฆ์ ฉะนั้นจึงต้องไปประมวลเรื่องราวว่า สำนักสงฆ์มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่หากตรวจพบว่ามีส่วนรู้เห็นจะเข้าข่ายการกระทำผิดเงื่อนไขในการเป็นพุทธอุทยาน และอาจนำไปสู่การไม่ต่อใบอนุญาตตั้งสำนักสงฆ์ หรือเพิกถอนจากการเป็นพุทธอุทยาน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องรวบรวมข้อมูลอีกครั้งนายพนัชกรกล่าวและว่าจากหลักฐานที่เป็นซากของหมีขอที่พบ เราไม่เป็นกังวลแล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้คดีนี้แน่นหนาขึ้นก็จะต้องไปหาว่า ยิงตรงจุดไหน และใครเป็นคนยิง ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครออกมารับว่าเป็นคนยิง ส่วนซากที่พบทางกรมอุทยานฯ ได้เร่งรัดให้ส่งไปตรวจพิสูจน์ให้แล้วเสร็จ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะทราบผล

 

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image