แบงก์ออมสินเผยดัชนีสตาร์ทอัพไตรมาส 3 ปี 2561 อยู่ในเกณฑ์ดี

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ(SSI) ประจำไตรมาส 3 ปี 2561 สำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการสตาร์ทอัพทั่วประเทศจำนวน 430 ตัวอย่าง พบว่า ดัชนี SSI ประจำไตรมาส 3 ปี 2561 ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ระดับ 61.55 ซึ่งสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทางธุรกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านการลงทุน ด้านผลประกอบการ ปริมาณการผลิต คำสั่งซื้อและการจ้างงานที่อยู่ในระดับดี จากการดำเนินมาตรการของภาครัฐ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่ง ในภูมิภาคมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่ส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเชื่อมโยง ประกอบกับการเร่งลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้ง อย่างชัดเจนส่งผลเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนของค่าแรง ค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าขนส่งที่ยังอยู่ในระดับสูง

นายชาติชายกล่าวว่า สำหรับดัชนี SSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพมีมุมมองต่อภาวะธุรกิจในภาพรวมดีขึ้นอยู่ที่ระดับ 70.35 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิตและผลประกอบการที่คาดว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นในธุรกิจเทคโนโลยี ท่องเที่ยว ขนส่งและโลจิสติกส์ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในธุรกิจท่องเที่ยวเนื่องจาก ไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นช่วงของฤดูกาลท่องเที่ยว ที่มีทั้งเทศกาลเฉลิมฉลองและมีวันหยุดยาว ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคาดการณ์ว่าต้นทุนการประกอบการยังไม่น่าจะลดลงจากปัจจุบัน

นายชาติชายกล่าวว่า เมื่อพิจารณาในแต่ละภาคธุรกิจ ได้แก่ อุตสาหกรรม การเกษตร การค้าและบริการ พบว่า ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพยังมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ ทางธุรกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี(สูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50) โดยดัชนี SSI ในภาคบริการอยู่ที่ระดับ 66.67 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนและมีค่าดัชนีสูงที่สุดในทุกภาคธุรกิจ ขณะที่ดัชนีธุรกิจอื่นๆ อยู่ระดับ 58.40-57.60 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพยังคงมีข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะปัญหาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนส่งผลทำให้ผลผลิตลดลง รวมทั้งประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่าย อีกทั้งปัญหาการขาดสภาพคล่อง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนและคู่แข่งขัน รวมถึงการขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือและมีทักษะเฉพาะทาง

นายชาติชายกล่าวว่า ทั้งนี้ศูนย์วิจัยฯ มองว่ายังมีประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังติดตามคือปัจจัยทางด้านต้นทุนของผู้ประกอบการนายชาติชายกล่าวว่า ที่สูงขึ้น ทั้งค่าจ้างแรงงานผู้มีทักษะเฉพาะทาง ค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าขนส่ง อีกทั้งยังมีอุปสรรคที่รอการแก้ไข ในด้านกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้สั่งซื้อ นอกจากนี้ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพยังคงต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนในด้านเงินทุนโดยมีเงื่อนไขการกู้ยืมที่ยืดหยุ่นและมีการผ่อนปรนการชำระหนี้เมื่อประสบปัญหารวมถึงการร่วมลงทุนเพื่อขยายธุรกิจและลงทุนเพิ่มเติมในด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกทั้งสนับสนุนด้านการหาตลาดและเพิ่มความรู้ด้านการลงทุน การขยายธุรกิจ ภาษี ตลอดจนด้านเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image