เมื่อวันที่ 3 มีนาคม นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในฐานะรองประธานศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง (CEPP) เปิดเผยว่า หลังจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมกำหนดวันขึ้นเวทีปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคโดยเบื้องต้นวางไว้ 4 จุดใหญ่ เน้นยุทธศาสตร์เจาะตามภาค เริ่มการปราศรัยใหญ่ “ภาคอีสาน” เป็นแห่งแรก ในวันที่ 10 มีนาคมนั้น กรณีดังกล่าวเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ มีหลายสถานะ และไม่ลาออกจากข้าราชการการเมือง เพื่อทำหน้าที่รักษาการตามที่นักการเมืองในอดีตเคยปฏิบัติ เพื่อสร้างความเสมอภาคในการหาเสียงและเพื่อความสุจริตและเที่ยงธรรมตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 กำหนด
“ดังนั้น ศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง หรือ CEPP จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษมากกว่าพรรคอื่นๆ โดยเตรียมการตั้งทีมตรวจสอบไว้ติดตามการเดินสายปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ว่ามีการกระทำและคำปราศรัยส่อไปในทางผิดกฎหมายอย่างไรหรือไม่ เช่น มีการนำรถยนต์และทรัพย์สินของทางราชการในการเดินทางไปตระเวนปราศรัยหรือไม่ มีการนำฝ่ายรักษาความปลอดภัยประจำตัวนายกฯเดินทางไปร่วมตระเวนด้วยหรือไม่ มีการนำข้าราชการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐไปร่วมตระเวนด้วยหรือไม่ หรือมีข้าราชการในพื้นที่ที่เปิดปราศรัยมาคอยต้อนรับและนำทรัพย์สินของทางราชการมาคอยอำนวยความสะดวกให้หรือไม่” นายศรีสุวรรณกล่าว
นายศรีสุวรรณกล่าวอีกว่า นอกจากนั้นทุกคำปราศรัยมีคำพูดใดที่ขัดต่อมาตรา 73 มาตรา 74 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และขัดต่อข้อ 17 ข้อ 18 แห่งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 หรือไม่ด้วย หากพบว่าการกระทำและคำปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายข้างต้น CEPP จะส่งคำร้องไปให้ กกต.พิจารณาวินิจฉัยเอาผิดทันที และหากมีประเด็นใดที่เกี่ยวโยงไปถึงการกระทำและรู้เห็นของหัวหน้าพรรค และหรือคณะกรรมการบริหารพรรคของพรรคพลังประชารัฐที่ส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมาย ก็จะดำเนินการด้วยเช่นกันในทันที
