“พรรคทหาร” แม้จะตั้งขึ้นใหม่ แต่ทุกครั้งที่ลงสนามเลือกตั้งไม่เคยปราชัย
อาจมีคำถามว่า “โกงหรือไม่” !?
พรรคทหารหรือพรรคสายพันธุ์รัฐประหารมากไปด้วยเครื่องมือกลไก
ระบบราชการไม่เคยเป็นกลางทางการเมือง
คาดหมายได้ว่า เมื่อ “นาย” มุ่งหมายสิ่งใด ปรารถนานั้นย่อมบรรลุ
สังคมไทยคุ้นเคยกับการตั้งอยู่ใน “ความสงบ” หรืออีกนัยคือ ศิโรราบ จนเป็นอุปนิสัย
ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อตั้งพรรคการเมือง “เสรีมนังคศิลา” ขึ้นก็คาดหมายได้ในทันทีว่า “จะต้องชนะเลือกตั้ง”
และเลือกตั้ง 26 กุมภาฯ 2500 “เสรีมนังคศิลา” ก็ชนะตามนั้น
ที่มีคนปลุกระดมว่า “เลือกตั้งสกปรก” เป็นการจุดชนวนปูทางสู่รัฐประหาร
ถ้า สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลผ้าขาวม้าแดงไม่ทรยศหักหลัง “นายเก่า” จอมพล ป. ก็จะได้ชื่อว่า เป็น “นายกรัฐมนตรี” ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างสมศักดิ์ศรีหลังจากที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนานภายหลังจากจี้
นายควง อภัยวงศ์ ให้ลุกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเมื่อเมษายน 2491
เช่นเดียวกับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ถึงแม้จะใช้ยุทธวิธี “ขอเวลาไม่นาน” พร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่สืบทอดอำนาจ” แต่ข้าทาสบริวารก็ส่งเสริมสนับสนุนว่า “อย่าให้เสียของ”
แต่ ป. พิบูลสงคราม กับ ป. จันทร์โอชา ต่างกัน
“ป.” แรก มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
ส่วน “ป.” หลัง อ้างว่า มาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และ “ขอเวลาไม่นาน”
แล้วยังไง ?
“ป. จันทร์โอชา” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ภายหลังนำกองทัพเข้ายึดอำนาจ ถึงวันนี้เกือบ 5 ปี ในที่สุดก็มีพรรคการเมืองสนับสนุนตามกติกาใหม่ที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน ประกาศว่า “รัฐธรรมนูญนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา”
แน่นอนทีเดียว ต้องมีพรรคสนับสนุน
“พรรคพลังประชารัฐ” ปฏิเสธว่า ไม่ใช่พรรคทหาร
มีแค่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.คนเดียว
ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร กลไกรัฐทั้งระบบ ตลอดจนเครือข่ายทั้งหลายต่างส่งเสริม “ป. จันทร์โอชา”
“พรรคสายพันธุ์ทหาร” ไม่เคยแพ้เลือกตั้ง
แม้ “ป. จันทร์โอชา” จะเคยประกาศ “ไม่สืบทอดอำนาจ” แต่วันนี้ก็พรั่งพร้อมด้วยกำลังรบตามครรลองประชาธิปไตยแบบเดียวกับที่ “ป. พิบูลสงคราม” เคยย่ำเดิน
เมื่อวันนั้น พรรคจอมพล ป. ชนะท่วมท้น กวาด ส.ส. 86 คนจากทั้งหมด 160 คน
“พรรคสายพันธุ์รัฐประหาร” ยังมีที่ยืนในสังคมไทย !?!!
