มีการเผยแพร่เอกสาร ด่วนที่สุด ที่ พร.0018.3/ว.1018 ลงวันที่ 13 มี.ค.2562 เรื่องการเดินทางมาตรวจราชการและเยี่ยมประชาชนในพื้นที่จังหวัดแพร่ของนายกรัฐมนตรี เนื้อหาสำคัญตอนหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมคณะเดินทางมาตรวจราชการเพื่อติดตามความก้าวหน้าตามนโยบายรัฐบาลและเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ จ.แพร่ ในวันเสาร์ที่ 16 มี.ค.2562 ณ สนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ ที่ทำการปกครอง จ.แพร่ ได้รับมอบหมายภารกิจให้แจ้งเชิญประชาชนในพื้นที่อำเภอต่างๆ เข้าร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะจำนวน 10,000 คน แยกเป็นรายอำเภอ ดังนี้ อำเภอเมืองแพร่ 2,000 คน สูงเม่น 2,000 คน สอง-ร้องกวาง-เด่นชัย อำเภอละ 1,200 คน ลอง 1,000 คน วังชิ้น 800 คน และม่วงไข 600 คน
ต่อมา นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ชี้่แจงกรณีดังกล่าวว่า เนื่องจากในช่วงเช้า จ.แพร่ได้กำหนดให้มีการประชุมประชาคมประชาชนที่เป็นตัวแทนของแต่ละอำเภอเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อน ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาถึงในช่วงบ่าย ที่กำหนดจำนวนคน เนื่องจากต้องการให้ประชาชนจากทุกอำเภอมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม และเนื่องจากพื้นที่ในสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่มีจำกัด จึงได้แจ้งให้แต่ละอำเภอเชิญชวนประชาชนมาร่วมกิจกรรมไม่เกินจำนวนที่นั่งที่ได้กำหนด แต่อย่างไรก็ตามหากมีประชาชนที่สนใจเดินทางเข้ามาร่วมกิจกรรมเองโดยไม่ผ่านทางอำเภอ จ.แพร่ ก็ได้เตรียมที่นั่งสำรองไว้อีกส่วนหนึ่งซึ่งสามารถรองรับประชาชนได้อีกประมาณ 1,000 ที่นั่ง
หนังสือของจังหวัดแพร่ระบุชัดเจนให้เชิญประชาชนมาร่วมต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมีสถานะเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อของพรรคพลังประชารัฐ แต่การเดินทางมาเยี่ยม มาในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จึงทำให้พรรคต่างๆ ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ ใช้งบประมาณของทางราชการ เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งหรือไม่ และเป็นเรื่องที่ยากจะชี้แจง และยากที่เชื่อว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง นับเป็นประเด็นปัญหาอีกประเด็นหนึ่งของการเมืองไทย ที่แม้ผ่านการปฏิรูปมา 5 ปีแล้ว แต่มาตรฐานใหม่ๆ ยังไม่เกิดขึ้น เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ต้องรวบรวมปัญหาต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงองค์กรบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้เป็นดีไซน์ที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน
