สสส. เปิดตัว ‘บางทีเราก็ลืมคิดไปว่า’ หวังปรับทัศนคติเพื่อชีวิตเป็นสุข

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 29 มีนาคม ที่เวทีเอเทรียม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เนื่องในสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 47 สำนักพิมพ์ Sook Publishing โดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “บางทีเราก็ลืมคิดไปว่า” โดยมี นางเบญจมาภรณ์ ลิมปิษเฐียร ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. เอ็ดดี้ พิทยากร ลีลาภัทร์ เจ้าของเพจ ธนาคารความสุข และนักอ่านที่ติดตามผลงานของเอ็ดดี้ ร่วมเสวนา ดำเนินรายการโดย กตัญญู สว่างศรี พิธีกรและผู้ประกาศข่าว TPBS

นางเบญจมาภรณ์ กล่าวว่า เมื่ออ่านหนังสือ “บางทีก็ลืมคิดไปว่า” ทำให้นึกถึงคำคมหนึ่งที่บอกว่า “ถ้าเราอยากจะคิดเปลี่ยนโลกไปช่วยแม่ล้างจานก่อนไหม” วิธีเขียนอย่างนี้หรือการยกประโยคเช่นนี้ ทำให้เราเข้าใจว่าต้องกลับมาสู่ชีวิตจริง ส่วนมากคนจะคิดถึงคนไกลมากกว่าคนใกล้ เพราะเรามีความเกรงใจ แต่คำคมคำเดียวสามารถอธิบายได้กว้างมาก หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่คำคมแล้วจบแต่เป็นคำคมที่มีบริบทขยายความออกมา จนสามารถคิดได้หลากหลายแบบ

การอ่านไม่ใช่จบที่หนังสือแต่ต้องกลับไปปฏิบัติตามได้จริงในชีวิตประจำวัน นี่คือจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ บางครั้งเราแค่คิดแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ Sook Publishing จึงมีเป้าหมายอยากให้คนที่อ่าน สังเคราะห์และรู้สึกอยากลงมือทำให้ตัวเองดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น เรามุ่งเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคมและปัญญาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่การอ่านสามารถช่วยได้ แต่จะทำอย่างไรให้เก่งทั้งเรื่องวิธีคิดและทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น
สำนักพิมพ์สุข เราทำงานร่วมกับ สสส. ข้อมูลเนื้อหาจึงมีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นองค์กรอิสระ เรามีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เรื่องข้อมูลต่างๆที่ร่วมเขียนออกมา เราอยากให้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดขึ้นได้จริง และสุดท้ายเราไม่ได้ทำแค่หนังสือ แต่เราพยายามทำให้เกิดชุมชนโดยการต่อยอดจากหนังสือของเรา

Advertisement

นายพิทยากร กล่าวว่า ผมมาร่วมงานเพราะได้รับคำเชิญทางอีเมล์ว่าอยากให้มาเขียนบทความวารสารสุข เราทำเพจธนาคารความสุขอยู่แล้ว ก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน โจทย์คือให้เรานึกถึงคำพูดสักคำ แล้วเขียนในมุมมองของเราที่ย่อยแล้ว ให้คนได้ใช้ประโยชน์ ทำอย่างไรให้คนรู้สึกดีกับสิ่งรอบตัวและการงานมากขึ้น ส่วนตัวสนใจเรื่องคำคมตั้งแต่เด็กเพราะชอบอ่าน คำคมยุคแรกๆคือแบบเซน ชอบที่สุดตอนนั้น คือ ประโยคที่บอกว่า “ธงไม่ได้สั่นไหว ใจเธอต่างหากที่สั่นไหว” ซึ่งตอนนั้นคิดว่ามันดูเท่

วิธีการคัดคำคมคือเลือกจากที่อ่านมาแล้วรู้สึกชอบและฝังใจ จากนั้นแยกว่าอยู่ในหมวดไหน พูดเรื่องอะไร เช่น พูดเรื่องการวางตัว การใช้ชีวิต การทำงาน ความพยายาม ความล้มเหลว ซึ่งมีความหลากหลายครบถ้วนทั้งเล่มและชอบทุกคำคม แต่จะขอเลือกคำคมที่เหมาะกับช่วงเวลานี้ ที่คนกำลังลุ้นผลเลือกตั้ง มีคำสอนหลวงปู่ชา เคยบอกว่า “โลกไม่ได้วุ่นวาย ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย” ซึ่งคล้ายกับเรื่องธง หมายความว่า การเมืองก็ไม่ได้วุ่นวาย การเมืองเป็นเท่าที่มันเป็นแต่เราต่างหากที่ไปวุ่นกับการเมือง ถ้าเราไม่ดูข่าวมากเกินไป และใช้ชีวิตปกติโดยไม่ต้องสนใจว่าใครคะแนนเยอะหรือน้อย ชีวิตเราก็จะไม่วุ่นวาย แต่ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวก็ต้องยอมรับว่าเหตุเป็นแบบนี้ผลจึงเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างยุติธรรมเป็นเรื่องเหตุกับผล ศาสนาพุทธพูดเรื่องนี้ ปลูกกล้วยก็ได้กล้วย ปลูกอ้อยก็ได้อ้อย ทุกคนทำเหตุของตัวเอง

“การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นการปรับทัศนคติบางอย่าง ขยันได้ แต่อย่าโลภมากและห้ามขี้เกียจ เพราะจะกลายเป็นสุดโต่ง ดังนั้นก่อนจะปรับชีวิต ต้องปรับทัศนคติให้ได้ก่อน เริ่มจากการนำเข้าข้อมูลแล้วสำรวจตัวเอง เราฝึกมองด้านที่แตกต่างจากความคิดกรอบเดิมที่มีอยู่ให้เป็น จะทำให้วันหนึ่งเมื่อเจอสถานการณ์คับขันจะได้มีหลายมุมมองและแยกแยะเป็น ซึ่งจะพบว่าด้านนึงที่เราไม่เคยมอง คือมองโลกตามความจริง ว่ามีทั้งบวกและลบเป็นธรรมดา บางเรื่องไม่จำเป็นต้องมีด้านบวกเลยก็ได้ แต่ความจริงก็คือความจริง มนุษย์เกิดมาชั่วคราว วันหนึ่งเราจะสรุปได้ด้วยตัวเองว่า ‘นี่คือเรื่องธรรมดา’ เป็นความคิดขั้นที่สูงกว่าคิดบวก คือ ต้องเห็นโลกตามความจริงให้ได้ โดยการฝึกสติให้อยู่กับความจริง ณ ปัจจุบัน เช่นการปฏิบัติธรรม เบื้องต้นทำเพื่อให้มีสติ ‘พุทโธ’ เพื่อดูความจริงว่าขณะที่ปากพูดใจก็คิดอยู่เหมือนกัน จะหลุดทุกข์ได้เราต้องเห็นความจริง คือการทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการมีสติ”

Advertisement

ธรรมะในความหมายที่เข้าใจคือความจริง เป็น fact of life เราเพียงรู้วิธีจับและมาวางทำให้คนเข้าใจได้ เหมือนสำนวนที่ว่า “เปิดของคว่ำให้หงาย” เหมือนชื่อหนังสือ บางทีเราก็ลืมคิดไปว่ามันมีด้านนี้อยู่ ที่เราวุ่นวายเพราะเราไปยุ่ง นักการเมือง กกต. หรือลุงตู่ ก็มีหน้าที่ของตัวเอง แต่เมื่อเราไปยุ่งกับคนเหล่านั้นก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ศัพท์ทางธรรมคือ “ใจเราไปยึดไว้” ความจริงแล้วคะแนนเสียงอาจไม่ได้เหวี่ยง แต่เป็นใจเราที่เหวี่ยงเอง คำแนะนำคือตามแบบคนดู อย่าตามแบบกองเชียร์ ไม่ต้องตัดสิน

นายพิทยากรกล่าวว่า ถ้าพูดถึงความทุกข์ เช่นทุกข์จากการเสพสื่อโซเชียลมีเดีย เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจหรือหงุดหงิด มีความเครียด ก็ให้รู้ว่ามาจากการที่ใจเราเริ่มไหลไปอยู่กับสิ่งที่คนอื่นพูด คิด และ ทำ แต่ลืมย้อนกลับมาดูที่ใจเราเอง ทำให้เริ่มทุกข์ใจและโทษสิ่งแวดล้อม จึงต้องย้อนกลับมาสนใจความคิดตัวเองว่าสิ่งที่เราคิดอยู่ทำให้สุขหรือทุกข์ มีประโยชน์หรือไม่
การคุยกับตัวเองคือการคิดใน 2 ด้าน แต่สังเกตตัวเอง คือการทำตัวเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เพื่อดูว่าใจเราเป็นอย่างไร คิดอะไร ต้องรู้ทันความคิดก่อนเพื่อไม่ให้ความคิดกลายเป็นนายและมีบทบาทกับเรา

นายพิทยากรกล่าวว่า เรื่องการล่องเรือ คนเราไม่สามารถควบคุมลมได้ แต่สิ่งเราทำได้คือการปรับใบเรือ เพื่อควบคุมเรือให้เข้ากับลม เพื่อไปถึงจุดหมาย ไม่ใช่ลมต้องเป็นไปอย่างใจเรา เมื่อย้อนกลับมาที่ตัวเอง บางครั้ง ด้วยความที่เป็นฟรีแลนซ์ ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าคนจะมาซื้อหนังสืิอถึงล้านเล่ม แต่ที่เราทำได้คือตั้งใจเขียนหนังสือให้ดีที่สุด ประชาสัมพันธ์ให้ดีที่สุด โดยไม่สนเรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องอื่นๆที่อยู่เหนือการควบคุม

ทางด้านนักอ่าน พนักงานเจ้าหน้าที่บริษัทการเงินเอกชนแห่งหนึ่ง กล่าวว่า รู้จักพี่เอ็ดดี้ทางทวิตเตอร์จากโพสต์นิทาน เป็นบทความสั้นๆ ที่มีภาษาอ่านง่าย ทำให้เรารู้สึกเหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ทำให้อ่านแล้วอยากรู้อยากอ่านไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ติดตามผ่านเพจเฟซบุ๊ก ธนาคารความสุข เริ่มอ่านหนังสือเล่มแรกของพี่เอ็ดดี้กับแฟนคนละเล่ม อ่านแล้วแชร์ความเห็นกัน
“ชอบภาษาที่ถ่ายทอดออกมาแล้วทำให้เข้าใจง่าย ฉีกกฎการอ่านหนังสือธรรมะทั่วไปที่คนเข้าใจว่าอ่านยากเข้าใจยาก คำที่นำใช้กับชีวิตคู่คือการกำจัดความโกรธ เมื่อโกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ เราฝึกไปเรื่อยๆ ปรับใช้พร้อมกับแฟน จากที่เคยเป็นคนหงุดหงิดโมโหง่าย ก็กลายเป็นคนใจเย็นลง ทำให้คู่ของเราคบกันได้นานจนถึงปัจจุบันนี้”
หนังสือของพี่เอ็ดดี้ได้สอดแทรกคำคมและธรรมะ โดยมีสไตล์การเขียนที่เข้าใจง่าย ภาษาง่าย ไม่ว่าอายุหรือวัยไหนก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ มั่นใจว่าผู้ที่อ่านจะรู้สึกมีความสุขและมีสติเหมือนที่แตงได้อ่านหนังสือเล่มนี้

นางเบญจมาภรณ์กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องใกล้ตัว ทั้ง 30 ตอนของเนื้อหา เมื่ออ่านเราจะสามารถคิดและต่อยอดนึกถึงบางเหตุการณ์ให้เข้ากับคำในหนังสือได้ไม่ยาก อ่านรอบแรกเราอาจคุ้น แต่รอบสองเราจะเริ่มนึกออก ว่าความจริงมีเรื่องบางเรื่องในชีวิตที่ใกล้เคียง Sook Publishing มีหนังสือหลายเล่มเรื่องการปรับทัศนคติ ที่จะนำไปสู่การปรับพฤติกรรม อีกเล่มที่แนะนำคือเรื่อง “หัวใจตื่นรู้” เหมือนเป็นธรรมะแต่เข้าใจง่าย และจะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น และปลายเดือนเมษายนนี้ จะมีหนังสือเกี่ยวกับการวิ่ง ชื่อว่า “นักวิ่งหน้าใหม่” ให้ติดตามอีกด้วย

นายพิทยากรกล่าวว่า หนังสือทุกเล่มตั้งใจเขียนให้อ่านง่าย แม้ว่าเรื่องนี้จะใช้ธรรมะเยอะ แต่เป็นเรื่องทางโลกมากที่สุดเท่าที่เขียนมา บางครั้งพูดถึงเรื่องธรมมะแล้วคนตื่นกลัว อยากให้ลองเปิดใจอ่าน เพราะบางครั้งเราก็ลืมคิด ทั้งๆที่เราก็คิดได้ นี่จะเป็นหนังสือที่ทำให้เข้าใจว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องยากหรือวุ่นวาย แต่การจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ต้องเริ่มต้นจากการปรับที่ทัศนคติ “เธอจงระวังความคิดของเธอ เพราะจะกลายเป็นความเคยชิน เธอจงระวังความเคยชินเพราะจะกลายเป็นนิสัย จงระวังนิสัยจะกำหนดชะตากรรมไปชั่วชีวิต ถ้าเราเห็นความจริงบ่อยๆ เราจะรู้ว่าเราไม่สามารถยึดอะไรเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image