รองผบ.ตร.เค้น ‘เสี่ยอะไหล่’ รับซัดเบียร์ 5ขวด เมาพับขับรถไร้สติ ออกตัว 400 ม.ชนยับพ.ต.ท. เพิ่มข้อหาโทษถึงประหาร!!

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 12 เมษายน ที่ สน.ศาลาแดง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) พร้อมคณะได้เดินทางมาร่วมสอบปากคำ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 57 ปี เจ้าของธุรกิจอะไหล่รถยนต์ที่ขับรถขณะเมาสุราชนรถของพ.ต.ท.จุตพร งามสุวิชชากุล อายุ 49 ปี รองผกก.บก.ป.ทำให้ พ.ต.ท.จุตพร เสียชีวิตพร้อมภรรยา ขณะที่บุตรสาววัย 16 ปีบาดเจ็บ ด้วยตนเอง

พล.ต.อ.วิระชัย เปิดเผยว่า จากการสอบสวน นายสมชาย ยอมรับในเบื้องต้นว่า ก่อนเกิดเหตุไปเล่นกอล์ฟ ที่สนามไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ มีการดื่มเบียร์กับเพื่อนร่วมก๊วนไปประมาณ 4-5 ขวด กระทั่งเวลาประมาณ 23.00 น.ก็หยุดดื่ม แยกย้ายกันกลับแล้วขับรถออกมาจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว กระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนถุงลมนิรภัยทำงาน ซึ่งก็ได้เกิดอุบัติเหตุไปแล้ว
“คดีนี้นอกจากจะแจ้งข้อหาแก่ นายสมชาย ในความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตามและมีผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว ทางพนักงานสอบสวนยังจะแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 มีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปีหรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต แก่นายสมชายด้วย เนื่องจากทางพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วควรแจ้งข้อหาหนักเอาไว้ก่อน จากนั้นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะรวบรวมให้ได้มากที่สุด จากนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลว่าจะลงโทษ นายสมชายในสถานใด ซึ่งจะควบคุมตัว นายสมชาย ส่งฝากขังที่ศาลจังหวัดตลิ่งชันดำเนินการตามกฎหมายภายในวันนี้” พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว

 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางพนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง ได้แนบเอกสารพฤติการณ์ของ นายสมชาย ไปยื่นต่อศาลเพื่อแจ้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา” ตามที่ระบุดังนี้ การที่ผู้ต้องหาสมัครใจดื่มสุราโดยรู้ว่าเป็นของมึนเมาแล้วจะทำให้ตนเองนั้นมึนเมา และดื่มเป็นจำนวนมากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องที่ย่อมรู้ได้อย่างแน่นอนว่า จะเกิดผลขึ้นคือ ความมึนเมาจนถึงขั้นหมดสติหรือจำเหตุการณ์ไม่ได้ หรือสูญเสียความสามารถในการควบคุมร่างกาย หรือควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้ ทั้งที่ตนเองจะต้องขับรถเดินทางกลับบ้าน การที่ผู้ต้องหารู้ว่าตนเองมึนเมาสุราอย่างหนักจนไม่สามารถควบคุมร่างกาย และกล้ามเนื้อได้ยังฝืนขับรถออกมาในถนนสาธารณะที่มีประชาชนใช้ร่วมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ในเวลากลางคืน ผู้ต้องหาย่อมรู้แล้วว่า จะต้องเกิดอุบัติเหตุ รถเฉี่ยวชนกับรถของคนอื่นอย่างแน่นอน

Advertisement

ในสภาวะที่ผู้ต้องหาไม่สามารถควบคุมร่างกายหรือกล้ามเนื้อได้เหมือนคนปกติ และไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนคนปกติ ไม่สามารถมองเห็นและตอบสนองได้เหมือนคนปกติ ประกอบทั้งมีอาการง่วงซึม และปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายช้าลง การตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ช้าลง และสมองสั่งการมายังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ช้าลง แต่ผู้ต้องหาก็ยังฝ่าฝืนขับรถออกมาในถนนสาธารณะ โดยขับมาได้เพียง 400 เมตร ก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนโดยขับรถเข้าไปในช่องทางของรถที่สวนทางมา จนทำให้รถที่สวนทางมาไม่อาจหลบหลีกไปทางอื่นได้เพราะมีเพียงแค่สองช่องทางการจราจรเท่านั้น เป็นเหตุให้ผู้ที่ขับรถสวนทางมาถึงแก่ความตายทั้งสองคน

พฤติการณ์ที่เกิดเหตุดังกล่าว และมีผู้ถึงแก่ความตาย เป็นพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาได้ยอมรับผลที่เกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่เริ่มขับรถออกมาบนถนนสาธารณะนอกจากนี้ ผู้ต้องหายังขับรถด้วยความเร็วสูง โดยพิจารณาได้จากร่องรอยการเฉี่ยวชนซึ่งรถทั้งสองคันได้รับความเสียหายอย่างมากประกอบกับในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยที่ผู้ต้องหาได้ทำการเบรกรถที่ตนเองขับมาด้วยความเร็วสูง ทั้งที่จุดเกิดเหตุอยู่บนกลางสะพานสูง เมื่อพิจารณาถึงพฤติเหตุ พฤติการณ์ และลักษณะแห่งการกระทำรวมถึงผลของการกระทำที่เกิดขึ้นผู้ต้องหาย่อมไม่อาจเอาความมึนเมานั้นขึ้นเป็นข้อแก้ตัวได้ว่า ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 66 จึงถือว่าผู้ต้องหามีเจตนาฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนา อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 มีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปีหรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

พล.ต.อ.วีระชัย​ เปิดเผยว่า​ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ มีคำสั่งให้ตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศ​ เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย​ และใช้ดุลพินิจในการแจ้งข้อหา​ ซึ่งหากพบว่าผู้ต้องหาขับขี่รถขณะมึนเมาสุราและเฉี่ยวชนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตก็ให้แจ้งข้อหา​ “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” แต่หากพบว่าคู่กรณีไม่เสียชีวิต​ แต่ได้รับบาดเจ็บ​ ก็สามารถตั้งข้อหา​ “พยายามฆ่า” ได้เช่นกัน

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image