นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า ไอแบงก์อยู่ระหว่างเฝ้าระวังหนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท มีโอกาสตกชั้นเป็นหนี้เสีย (เอ็นพีเอฟ) จากหนี้คงค้าง 5.2 หมื่นล้านบาท โดยพบว่าล่าสุดมีหนี้เสียเคยแก้ไขไปแล้วกลับมาเป็นหนี้เสียใหม่อีกกว่า 1 พันล้านบาท ส่งผลให้หนี้เสียขณะนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20% หรือ 1 หมื่นล้านบาท จากปลายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 17% หรือประมาณ 9 พันล้านบาท คาดหวังว่าในช่วงปลายปีนี้หนี้เสียอยู่ในระดับ 9 พันล้านบาท
“หนี้เสียเคยปรับโครงสร้างหนี้เป็นหนี้ดีกลับมามีปัญหาเป็นหนี้เสียอีกครั้ง เป็นรายใหญ่ 2 ราย วงเงิน 1 พันล้านบาทอยู่ในธุรกิจโรงแรม โดยในการแก้หนี้เสียไอแบงก์แบ่งการทำงานเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่เป็นหนี้เสียอยู่แล้วคาดว่าปีนี้จะแก้ได้ 1 พันล้านบาท และกลุ่มสีเทามีอยู่ 1 หมื่นล้านบาทคาดว่าปีนี้จะตกชั้นเป็นหนี้เสียประมาณ 1 พันล้านบาท ดังนั้น ในปีนี้ทั้งปีหนี้เสียยังคงมีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังตั้งเป้าหมายว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะแก้หนี้เสียให้เหลือ 5%” นายวุฒิชัยกล่าว
นายวุฒิชัยกล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 1 ธนาคารสามารถทำกำไร 170 ล้านบาท ปล่อยกู้ใหม่ได้ 2.5 พันล้านบาท คาดว่าทั้งปีจะมีกำไร 1.1 พันล้านบาท ปล่อยกู้ใหม่ได้ 1.2 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นเป้าหมายต้องพยายาม เพราะในช่วงไตรมาสแรกทำได้ต่ำกว่าแผนวางไว้ โดยในปีนี้สิ่งที่ต้องดำเนินการคือแก้ปัญหาหนี้ในกลุ่มสีเทาไม่ให้เป็นหนี้เสียใหม่ รวมถึงแก้ไขปัญหาหนี้เสียเดิมเพื่อไม่ให้สัดส่วนหนี้เสียในภาพรวมเพิ่มสูงไปมากกว่านี้ รวมถึงเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่เน้นในกลุ่มพี่น้องมุสลิมในภาคใต้ ภาคกลาง ให้เป็นไปตามเป้าหมายวางไว้ สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) ล่าสุดยังติดลบ 2% หรือติดลบ 1.2 พันล้านบาท หากจะให้บีไอเอสเป็นบวก 8% ตามมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องใช้เงินเพิ่มทุนอีกประมาณ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังเพิ่มทุน 1.8 หมื่นล้านบาท ครบแล้วตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
“ในปี 2561 ที่ผ่านมาไอแบงก์สามารถทำกำไร 531 ล้านบาท ถือว่าเป็นกำไรในรอบ 5 ปี ซึ่งกำไรที่ทำได้ส่งผลให้บีไอเอส ติดลบน้อยลงจากปลายปีติดลบ 1.4 พันล้านบาท โดยในปีนี้จะพยายามแก้ปัญหาและเดินหน้าแผนการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้ธนาคารกลับเข้าไปสู่แผนฟื้นฟูอีกรอบ” นายวุฒิชัยกล่าว
