นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยในงานสัมมนา “CLMVT Forum 2019: ศูนย์กลางห่วงโซ่คุณค่ายุคใหม่แห่งเอเชีย” ที่โรงแรมเรเนซองส์กรุงเทพฯว่าความเชื่อมโยงของห่วงโซ่คุณค่า(แวลูเชน) ของภูมิภาคซีแอลเอ็มวีทีหรือกัมพูชาสปป.ลาวเมียนมาเวียดนามและไทยเปลี่ยนแปลงไปโดยเป็นผลจากปัจจัยแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจในภูมิภาคซีแอลเอ็มวีทีที่เติบโตต่อเนื่องประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นทำให้จากเดิมที่เป็นภูมิภาคที่เน้นแข่งขันด้วยค่าแรงต่ำก็จะต้องเปลี่ยนไปและข้อได้เปรียบน้อยลงอแต่รายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความบต้องการบรอโภคเพิ่มขึ้นทั้งด้านสินค้ารวมทั้งมีความต้องการด้านบริการมากขึ้นขณะที่เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วมีการนำระบบออโตเมชั่นหุ่นยนต์แมชชีนเลินนิ่งทำให้ห่วงโซ่อุปทานเดิมที่เน้นแรงงานถูกจะมีความสำคัญลดลงเปลี่ยนมาใช้หุ่นยนต์เข้ามาแทนที่เพราะได้ประสิทธิภาพมากกว่า และความตึงเครียดการเมืองระหว่างประเทศสหรัฐกับอิหร่านนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือความขัดแย้งทะเลจีนใต้สงครามการค้าสหรัฐและจีนสถานการณ์เบร็กซิทซึ่งปัจจุบันแต่ละประเทศเชื่อมโยงกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ในประเทศหนึ่งประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบอาจสร้างความเสี่ยงใหม่ในอนาคตขณะนี้เริ่มเห็นรูปแบบการลงทุนใหม่และการย้ายฐานการผลิตมากขึ้น การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐและเม้กซิโก การย้ายฐานการผลิตของจีนมายังไทย
“การเติบโตของภูมิภาคซีแอลเอ็มวีทีมีความท้าทายจากหลายปัจจัยซึ่งสิ่งสำคัญในอนาคต กลุ่มซีแอลเอ็มวีทีจำเป็นที่จะต้องรวมเป็นภูมิภาคร่วมพัฒนาห่วงโซ่คูณค่าเป็นแบบภูมิภาคหันมาค้าขายระหว่างประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นแทนการค้าส่งไปประเทศห่างไกลเพราะที่จะเข้าใจผู้บริโภคได้ดีเพราะอยู่ประเทศใกล้เคียงกันช่วยลดต้นทุนการผลิตการขนส่งซึ่งการเติบโตระหว่างกันในภูมิภาคยังมีโอกาสอีกมากจากปัจจุบันที่การส่งออกหลักยังไปในสหรัฐและยุโรปเชื่อว่าในอนาคตมูลค่าการส่งออกในภูมิภาคระหว่างกันจะเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้ซีแอลเอ็มวีทียังสามารถขยายความร่วมมือกับประเทศจีนอินเดียอินโดนีเซียที่มีประชากรกว่า40% ของประชากรทั้งโลก” นายวิรไทกล่าว
นายวิรไท กล่าวว่า ภูมิภาคซีแอลเอ็มวีทีต้องให้ความสำคัญกับภาคบริการเพราะต่อไปโลกจะเปลี่ยนจากโลกการผลิตเป็นโลกบริการการบริการจะมีความสำคัญมากขึ้นอาทิการให้บริการทางการแพทย์บริการทางการเงินการศึกษาการบริการภาคอุตสาหกรรมการออกแบบเพื่อการผลิตบริการหลังการขายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องเตรียมพร้อมที่จะรองรับทั้งนี้ควรเปิดเสรีภาคบริการเพิ่มมากขึ้นเพื่อทำให้ห่วงโซ่คุณค่าภาคบริการในภูมิภาคเกิดขึ้นและเชื่อมต่อกันที่ผ่านมาหลายประเทศยังมีแนวโน้มปิดกั้นเสรีการเปิดภาคบริการซึ่งแต่ละประเทศต้องมีการทบทวนเพื่อลดอุปสรรคในภาคบริการการเคลื่อนย้ายแรงงานภาคบริการมีการปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบให้รองรับแนวโน้มเสรษฐกิจที่เปลี่ยนแลงไปรวมทั้งการเพิ่มทักษะให้กับประชาชนในซีแอลเอ็มวีทีที่มีอยู่ราว123 ล้านคนเพื่อให้สามารถเรียนรู้เข้าใจและใช้เทคโนโลยีได้แทนการใช้แรงงานแบบเดิม
เกาะกระแสเศรษฐกิจใกล้ตัว กับมติชน คลิ๊ก!
