เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ระดับ30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ30.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นได้หลังตลาดทุนปิดรับความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยีลด์) สหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากข้อมูลตลาดแรงงานที่ดีกว่าคาด ในระยะสั้นมองความเสี่ยงที่เงินบาทจะปรับตัวอ่อนขึ้นได้ยังคงมีอยู่เล็กน้อยเนื่องจากบอนด์ยีลด์ระยะสั้นในสหรัฐอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรเป็นเช่นบอนด์ยีลด์อายุ2ปีที่ระดับ1.8% ชี้ว่าตลาดยังคงหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าซึ่งต้องจับตาว่าจะมีการส่งสัญญาณอย่างไรหรือไม่ในรายงานการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ดีมองว่าภาพเงินบาทจะเจอกับแรงขายของผู้ส่งออกเมื่อราคาปรับตัวสูงถึง30.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและโอกาสที่จะเห็นเงินบาทเปลี่ยนทิศทางในระยะสั้นยังคงต่ำคาดกรอบเงินบาทวันนี้30.70 – 30.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้30.40 – 30.90 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายจิติพล กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกวันที่8-12 กรกฎาคม ต้องติดตามเริ่มจากฝั่งยุโรป วันที่8 กรกฎาคมจะมีการรายงานผลผลิตอุตสาหกรรมเยอรมนีของเดือนพฤษภาคมคาดว่าจะหดตัวกว่า2.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนสอดคล้องกับยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่ติดลบถึง8.6% ชี้ว่าปัญหาสำคัญของยูโรโซนคือภาคการผลิตที่ซบเซาเรื้อรังจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวตลาดอาจจับตาไปที่รายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) ซึ่งคาดกันว่าอีซีบีจะใช้รายงานนี้ส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น
นายจิติพล กล่าวว่า สำหรับสหรัฐ คาดว่ายอดตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่เดือนพฤษภาคมที่จะรายงานในวันอังคารจะอยู่ที่7.4 ล้านตำแหน่งซึ่งถือว่าในสหรัฐยังมีความต้องการแรงงานในระดับสูงอย่างไรก็ดีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมิถุนายนที่จะมีการรายงานในวันที่& กรกฎาคมจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงแตะระดับ1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากปัจจัยราคาสินค้าพลังงานลดลงขณะที่ในวันเดียวกันควรติดตามรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) โดยความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจะหนุนโอกาสการลดดอกเบี้ยเฟดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้นอกจากนี้สัปดาห์นี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟด มีกำหนดขึ้นตอบคำถามกับคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนและวุฒิสภาสหรัฐเรื่องนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจ
นายจิติพล กล่าวว่า ฝั่งเอเชียใน วันที่9 กรกฎาคม คาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางมาเลเซียจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% สู่ระดับ3.00% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังภาคการส่งออกซบเซาจากผลกระทบของสงครามการค้าและเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่วนในวันที่12 กรกฎาคมติดตามผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคมจะติดลบลง1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยอดส่งออกของจีนก็มีโอกาสจะหดตัวลง0.8%
เกาะกระแสเศรษฐกิจ กับ Line@มติชนเศรษฐกิจใกล้ตัว
