ฉบับที่แล้วผมเขียนเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศสว่าเหตุใดประเทศนี้ถึงมีอัตราค่าไฟไม่แพงเลย มาสัปดาห์นี้ ผมจะขอมาชวนมองอีกมุมหนึ่งในอีกประเทศหนึ่งที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกว่าเหตุใดจึงมีค่าไฟฟ้าแพงมาก ประเทศนั้นคือ ออสเตรเลีย ครับ
ผมได้ติดตามวิวัฒนาการของกิจการไฟฟ้าในออสเตรเลียมานานพอสมควรและเห็นภาพประเทศออสเตรเลียที่เป็นประเทศชั้นนำที่มีการปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้ามาโดยตลอด โดยยึดถือหลักคิดคล้ายกับในประเทศอังกฤษที่ต้องการส่งเสริมให้มีการแข่งขันจากภาคเอกชนกระจายถือครองกำลังการผลิตและลดบทบาทภาครัฐให้เป็นเพียงแค่หน่วยกำกับดูแล ทำให้เกิดการแข่งขันสูงด้านราคาที่เข้มข้น และผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกในการหาผู้ให้บริการไฟฟ้าได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งออสเตรเลียทำได้ดีมาโดยตลอดในการปรับปรุงโครงสร้างกิจการไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 1996 มีการแข่งขันทั้งใน ระบบการผลิตไฟฟ้า หรือ ระบบ Generations และ ระดับค้าปลีก หรือ Retails ที่ผ่านมาฟังดูดีทั้งหมด แต่เหตุไฉนคนออสเตรเลียยังต้องจ่ายค่าไฟแพง? หมายเหตุ ไว้ก่อนเลยว่าคำว่า “แพง” นั้น คือ ประมาณ 0.26-0.32 AUD/kWh หรือ 6 บาทกว่าต่อหน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) เลยทีเดียวครับ
ราคาที่ปรากฏ ผมได้มาจากเว็บไซต์ www.electricitywizard.com.au และเป็นราคาเฉลี่ยในแต่ละมลรัฐ ไม่รวมค่า Demand Charge และอัตราค่าไฟฟ้าช่วง Peak และภาษีใดๆ ซึ่งอาจจะทำให้ต้องบวกเพิ่มอีกเกือบ 1 บาท/หน่วย เลยทีเดียว
เท่าที่ได้ข้อมูล และรวบรวมมาวิเคราะห์เอง พบว่า
1.ค่าไฟที่แพงนั้น แพงเป็นจุดๆ และเป็นรัฐในบางรัฐ ที่การแข่งขันยังน้อย เช่น ในรัฐ South Australia ที่มีโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหินและก๊าซ) น้อย แต่มีโรงไฟฟ้าต้นทุนสูงจากพลังงานทดแทนค่อนข้างมาก เลยทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในรัฐนี้จ่ายค่าไฟแพงกว่ารัฐอื่น แต่ในขณะนี้รัฐ Tasmania และในกรุงแคนเบอร์รา (เขต ACT) โรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ อยู่มากกว่าจะมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าใน South Australia ถึงเกือบ 30%
2.แม้ว่าประเทศออสเตรเลียมี ระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า หรือ National Electricity Market (NEM) แต่ไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ตลาดกลางนี้จึงไม่ได้เชื่อมโยงกับ Western Australia และ Northern Territory ที่มีทรัพยากรพลังงานที่มหาศาล จึงทำให้โรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำหลายแห่งในฝั่งตะวันตกของประเทศไม่สามารถเข้ามาช่วยเสริมและรองรับตลาดหลักที่มีความต้องการที่สูงกว่าในฝั่งตะวันออกแถมโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำ เช่น ถ่านหินในฝั่งตะวันออก กลับถูกกดดันให้ปิดตัวลง
3.การเร่งสปีดพลังงานทดแทนเร็วไปโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และลม แถมการติดตั้งพลังงานทั้ง 2 รูปแบบในประเทศออสเตรเลียต้นทุนไม่ถูกเลยนะครับ และนโยบายที่รับซื้อเข้าระบบไม่อั้นนั้น ทำให้ในบางรัฐ เช่น South Australia มีอัตราค่าไฟพุ่งสูงขึ้นมากที่สุดในประเทศ ในขณะเดียวกันการกดดันให้โรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีต้นทุนต่ำปิดตัวลงต่อเนื่องทำให้การแข่งขันในระบบการผลิตไฟฟ้าอ่อนตัวน้อยลง ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่มีต้นทุนสูงกว่ากับพุ่งสูงขึ้น
4.การส่งสัญญาณให้ประหยัดไฟฟ้าน้อยเกินไป : เรื่องนี้ฟังดูก็แปลกว่าประเทศที่พัฒนาอย่างออสเตรเลีย กลับละเลยและออกมายอมรับเรื่องนี้เอง โดย Energy Efficiency Council ออกมาเปิดเผยว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วประเทศเดียวที่มีการปรับปรุง ระบบประสิทธิภาพด้านไฟฟ้า หรือ โปรแกรม Demand Side Management (DSM) ที่ค่อนข้างล้าหลัง และไม่มีอะไรใหม่มานานแล้ว และหากเทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น จีน กลับกลายว่าจีนนั้นมีการพัฒนาประสิทธิภาพด้านไฟฟ้าดีกว่าออสเตรเลีย ถึง 2 เท่า ซึ่งจีนลด Energy Intensity ได้ 20% ภายในระยะเวลาเพียง 17 ปี (2000-2017) หรือปีละเปอร์เซ็นต์กว่าๆ ในขณะที่ออสเตรเลียลดได้เพียงไม่ถึง 10% สำหรับไทยนั้นมีการลด Energy Intensity ประมาณ 1% ต่อปีครับ
ดังนั้นจะเห็นว่าประเทศออสเตรเลียที่มีค่าไฟแพง แม้ว่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานมากมาย มีโครงสร้างที่ส่งเสริมการแข่งขันสูง แต่ด้วยที่รัฐเร่งรัดการปิดตัวของโรงไฟฟ้าถ่านหินต้นทุนต่ำ และเร่งสปีดพลังงานลมและแสงอาทิตย์มากเกินไป แถมละเลยการปรับปรุงนโยบายการประหยัดไฟฟ้าอย่างจริงจัง เลยทำให้ค่าไฟจึงแพง ครับ
ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร
ผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน