| ผู้เขียน | ทรงพร ศรีสุวรรณ |
|---|
คสช.ย่อยสลายไปแล้วหลังเข้ามาบริหารจัดการประเทศกว่า 5 ปี แต่สมาชิกและเครือข่ายจำนวนหนึ่งยังมีบทบาทและอำนาจในการบริหารจัดการประเทศต่อไป
หลายคนจึงถูกกล่าวหาเรื่องการสืบทอดอำนาจ
โดยสมาชิกจำนวนหนึ่งไปดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี จำนวนหนึ่งไปเป็นส.ว. จำนวนหนึ่งไปเป็น ส.ส.ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ
คำสั่งและประกาศ คสช.จำนวนหนึ่ง รวมทั้งอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว พ.ศ.257 ก็สิ้นสภาพเช่นกัน แต่มรดกของ คสช.หลายสิ่งหลายอย่างซึ่งมีทั้งดีและไม่ดียังคงอยู่
ที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางคือ รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ซึ่งนักการเมืองโดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านเห็นตรงกันว่า จะต้องมีการแก้ไข แม้จะทำได้ยากก็ตาม
และแม้ว่า คสช.จะสลายไปเพราะการเลือกตั้ง แต่บรรยากาศและกลิ่นอายของ คสช.ยังไม่หมดไป
วิธีการทำงานสไตล์ คสช.ก็ดูเหมือนว่า จะตกทอดไปยังพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่าการทำงานที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และการสยบปัญหาความขัดแย้ง
ยกตัวอย่าง ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่า จะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มอีสานตอนบนและกลุ่มด้ามขวานไทย ที่ออกมาเรียกร้องขอเก้าอี้รัฐมนตรี
ปัญหากลุ่มสามมิตรไม่พอใจการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี ที่มีการสลับโผให้ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงงาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ปัญหา “อนุชา นาคาศัย” หลุดโผรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ปัญหาจะขับ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้พ้นเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โดยกล่าวหาว่า ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ ไม่เห็นหัว ส.ส. ฯลฯ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ จบอย่างรวดเร็ว และเหมือนว่า ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตหัวหน้า คสช. ที่พยายามปรับตัว เปลี่ยนบุคลิกให้นุ่มนวลลง แต่บางครั้งก็ยังแสดงอาการใจร้อน ฉุนเฉียว เสียงดัง และดุดัน
ท่าทางและลีลายังเป็น”บิ๊กตู่”คนเดิม
การประชุมรัฐสภา เพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาล “ประยุทธ์ 2/1” ที่ผ่านมา ส.ส.หลายคนก็ตกใจ เพราะคิดว่า ถูกข่มขู่ ขณะที่อีกหลายคนอมยิ้ม เพราะเข้าใจว่า เคยชินกับนิสัยที่เคยเป็นทหารมาก่อน
คงอีกนานกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะคุ้นชินกับสูทตัวใหม่
