แฉพระในอุตรดิตถ์เสพเมถุนน้องสาว-โยมเจ้าของมูลนิธิ ผู้ว่าฯสั่งตามเรื่อง

แฉพระในอุตรดิตถ์เสพเมถุนน้องสาว-โยมเจ้าของมูลนิธิ ผู้ว่าฯสั่งตามเรื่อง

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม น.ส.ชุติตา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ชาว ต.แม่พริก อ.แม่สลวย จ.เชียงราย น้องสาวต่างมารดาของอดีตพระสงฆ์รูปหนึ่ง เจ้าของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ออกมาแฉพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของอดีตพระสงฆ์ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกันที่มีพ่อคนเดียวกันแต่ต่างมารดากันเท่านั้นว่า ปี 2550 มาอาศัยอยู่กับพระพี่ชายที่สำนักปฏิบัติธรรมดังกล่าวตั้งแต่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง พ่อและแม่น้าให้มาคอยดูแลพระพี่ชายเปรียบเสมือนน้องสาวที่คอยดูแลพี่ชาย ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับเด็กวัดคนหนึ่ง ทำงานกระทั่งมีอาการกระดูกทับเส้นหลัง ขณะเดียวกันก็รับรู้รับทราบจากลูกศิษย์ว่า พระพี่ชายมีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับลูกศิษย์ที่เป็นผู้หญิง แต่ไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ยอมรับว่าคิดอยู่ตลอดเวลาว่า อาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นไปได้

น.ส.ชุติตากล่าวว่า ตลอดเวลาที่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ค่อยสบายใจ จึงตัดสินใจปรึกษากับพระพี่ชายว่า จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ โดยพระพี่ชายแนะนำว่า จะต้องทำการฝึกจิตด้วยวิธีการเปลื้องผ้าต่อหน้าพระพี่ชายในช่วงเวลากลางคืน เพื่อทำการทดสอบสภาพจิตใจของตนเอง ยอมรับว่ายังไม่คิดอะไรว่า ทำไมการฝึกจิตถึงต้องทำขนาดนี้คือการเปลื้องผ้า อีกทั้งเชื่อว่าความที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน กระทั่งทำการฝึกแบบนี้อยู่ 3 สัปดาห์ พระพี่ชายก็บอกให้ทำอย่างเดิม แต่ครั้งนี้ให้นอนหงายแล้วปิดไฟฟ้าให้อยู่ในความมืด จากนั้นพระพี่ชายก็นำมะเขือยาวที่แช่เย็นออกมาให้จับ ขณะนั้นรู้สึกกลัวอย่างมากและเริ่มผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว สุดท้ายคืนนั้นพระพี่ชายกับตนก็มีความสัมพันธ์ทางเพศหรือเสพเมถุน

“ผ่านจากคืนที่พระพี่ชายเสพถุนแล้ว ก็พยายามกำชับว่า ห้ามพูดหรือนึกถึงเรื่องคืนที่ผ่านมา เพราะจะเสียหายทั้ง 2 คน เป็นแบบนี้ซึ่งหมายถึงพระพี่ชายเสพเมถุนอยู่มานานถึง 3 ปี โดยปีแรกยอมรับว่าลำบากใจและรู้สึกไม่ดีและรู้สึกกลัวทุกครั้งที่ถูกเรียกเข้าไปพบในห้องในช่วงกลางคืน ผ่านไปปีที่ 2 และ 3 ก็รู้สึกชินชา แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ดีและทำลายศาสนา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะเสียหายชื่อเสียงของพระพี่ชายที่มีญาติโยมมาทำบุญสร้างพระพุทธรูปจำนวนมากกว่า 100 องค์ ช่วง 2 ปีแรกที่มีอะไรกับพระพี่ชาย มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างมีอายุมาทำบุญที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ พระพี่ชายกับโยมรายนี้ก็พูดคุยกันถูกคอจนมีความสัมพันธ์อะไรกันเกินเลยไปมากกว่าลูกศิษย์กับพระ เรื่องที่เกิดขึ้นมีพระรูปหนึ่งที่เคยมาอยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมเห็นว่า อยู่ด้วยกัน 2 คนในห้องเดียวกันตลอดทั้งคืน” น.ส.ชุติตากล่าว

Advertisement

น.ส.ชุติตากล่าวว่า ตอลด 2 ปีที่ต้องอาศัยอยู่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้แบบหวานอมขมกลืน เพราะต้องอยู่แบบไม่ต่างอะไรไปจากภรรยาหลวงภรรยาน้อย เมื่อช่วงต้นปี 2562 พระพี่ชายและโยมซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิแห่งหนึ่งขอให้ออกจากสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ โดยให้เงิน 200,000 บาท จึงตัดสินใจออกมาอยู่กับพ่อที่ จ.เชียงราย ล่าสุดต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพ่อก็ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วทั้งหมด จึงเดินทางมาพบพระลูกชาย แม้จะอยู่ภายในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ แต่นุ่งขาวห่มขาว เนื่องจากทำการลาสิกขาไปก่อนหน้านี้แล้วเมื่อช่วงเดือนมิถุนายน โดยอดีตพระพี่ชายหรือพระลูกชายก็ยอมรับกับพ่อว่า มีความสัมพันธ์กับน้องสาวต่างมารดาจริง พ่อและแม่น้ากำลังหารือกันว่า จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างไรกับอดีตพระรูปนี้อย่างไรได้บ้าง

“เหตุที่ทำให้อดีตพระพี่ชายต้องลาสิกขาก็เนื่องมาจากมีบรรดาญาติโยมลูกศิษย์รู้เรื่องถึงเรื่องไม่ดีมากขึ้น ญาติโยมรุ่นเก่าๆ ที่เคยเป็นลูกศิษย์ไม่มาทำบุญหรือเข้ามาสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้แล้ว จะมีแต่ก็ญาติโยมและลูกศิษย์รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเข้ามาทำบุญเหมือนเดิม ล่าสุดสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้เปลี่ยนชื่อใหม่ ปิดไม่รับปฏิบัติธรรมจากบุคคลภายนอกแล้ว ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปภายในสำนักปฏิบัติธรรมด้วย การที่ออกมาแฉเรื่องไม่ดีครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะความหึงหวงหรือมีผลประโยชน์ภายในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ และก็ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับทางสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ด้วย แม้จะเป็นอดีตพระพี่ชายเองก็ตาม แต่ต้องการให้ญาติโยมและสังคมที่เคารพนับถือกราบไหว้ต้องตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป และทราบว่า อดีตพระพี่ชายจะรอให้เรื่องนี้เงียบและจะกลับมาบวชเป็นพระอีก และจะมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ถือว่าทำลายความเลื่อมใสศรัทราของชาวพุทธอย่างยิ่ง” น.ส.ชุติตากล่าว

น.ส.ชุติตากล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา นำคลิปภาพขณะพระพี่ชายเสพเมถุนกับตัวเอง และหลักฐานการคุยกันในไลน์ระหว่างพระพี่ชายกับโยมที่เป็นประธานมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุตรดิตถ์ แต่เจ้าหน้าที่ในศูนย์ดำรงธรรม จ.อุตรดิตถ์ ไม่รับเรื่องโดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องส่วนตัว และเกรงจะเกิดอันตรายกับตัวผู้ร้อง หรืออาจจะถูกฟ้องร้องได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยปรึกษาทางสำนักงานพระพุทธศาสนา จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งทางผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาก็บอกว่า ทำอะไรไม่ได้ เพราะพระรูปนี้ทำการลาสิกขาไปแล้ว
ด้านนายธนกร อึ้งจิตรไพศาล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีการรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะให้นายพิภัช ประจันเขตต์ รองผู้ว่าราชการ จ.อุตรดิตถ์ ที่ดูแลงานด้านพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

Advertisement

ด้านนายธนกรกล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีการรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จะให้นายพิภัช ที่ดูแลงานด้านพระพุทธศาสนาให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image