เศรษฐกิจรากหญ้ามีแต่จะฆ่าตัวตาย โดย สมหมาย ภาษี

ผมไม่แน่ใจว่าผู้ที่นั่งบริหารประเทศในทำเนียบรัฐบาลในเวลานี้ จะได้ยินได้ฟังจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะจากสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆ ในเรื่องคนจนๆ ประเภทตั้งแต่หาเช้ากินค่ำ รากหญ้า ตลอดจนถึงเจ้าของร้านค้าและธุรกิจรายย่อย ต่างก็หาทางออกในการแก้จนและแก้หนี้ด้วยการฆ่าตัวตาย

สำหรับผมเองมีเวลาดูทีวีทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น และค่ำ แล้วแต่จะสะดวกได้มากกว่าท่านเสนาบดีทั้งหลาย ก็ได้ยินได้เห็นข่าวการฆ่าตัวตายรายวันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทบทุกวัน ผมสนใจฟังเพราะอยากรู้สาเหตุ แล้วก็สรุปได้ว่า ถ้าเป็นคนดีสุจริต โกงใครไม่เป็น ขอเงินใครๆ ไม่เป็น มีวิธีแก้ปัญหาเพียงวิธีเดียว คือการฆ่าตัวตายให้พ้นๆ ไปเสียจากแผ่นดินที่ได้เกิดมาแต่โงหัวและลืมตาอ้าปากไม่เคยได้

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในวันที่ 22 สิงหาคม ช่วงเช้าหน่อย ก่อนที่จะลงมือเขียนบทความนี้ ก็ได้ฟังข่าวจากทีวีช่องหนึ่งออกข่าวชาวบ้านเรื่องหนึ่ง ฟังสรุปได้ว่ามีผัวเมียคู่หนึ่งซึ่งมีร้านขายของชำเล็กๆ ได้จูงเมือกันไปหาที่ลับตาคนแล้วแขวนคอตายทั้งคู่ โดยทิ้งจดหมายเล็กๆ บอกลูกและผู้ที่อยู่ข้างหลังว่า ที่อยู่ไม่ได้เพราะไม่สามารถใช้หนี้เงินกู้ได้ร้านขายของชำที่มีอยู่ก็ขายของไม่ค่อยได้เลย ฝืดเคืองมาก และตนก็ไม่อยากรบกวนใคร

ถัดจากข่าวข้างต้น ทีวีช่องเดียวกันนั่นแหละ ก็ออกอีกข่าวหนึ่งว่า ตำรวจเครียดกระหน่ำยิงภรรยาตายต่อหน้าลูก ลูกวิ่งจะไปตามคนมาช่วย พอออกไปได้หน่อยเดียวก็ได้ยินเสียปืนอีกนัด กลับมาก็เห็นพ่อเอาปืนกระบอกนั้นจ่อยิงขมับตัวเองตายไปด้วยแล้วนักข่าวไปถามเพื่อนๆ ทราบว่าสาเหตุมาจากความเครียดของการเป็นหนี้

Advertisement

วันเดียวกันนี้ ช่วงประมาณ 11.45 น. ก็เจอข่าวจากทีวีช่อง 3 ซึ่งเป็นช่องใหญ่ที่คนชอบดูมาก ได้ออกข่าวรายการข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ในหัวข้อพิษเศรษฐกิจฆ่าตัวตายรายวัน! ซึ่งได้รายงานเรื่องฆ่าตัวตายในวันที่ 11, 13, 14, 15 และ 21 สิงหาคม ในจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครราชสีมา พัทลุง และชลบุรี แต่ละจังหวัดมีคนฆ่าตัวตายในวันที่กล่าว อย่างน้อย 3 ราย เช่นในวันที่ 13 สิงหาคม ที่ปทุมธานี พ่อแม่ลูก 4 ขวบ รมควันฆ่าตัวตายในรถยนต์ เหตุเพราะธุรกิจเจ๊ง เป็นต้น

นอกจากนี้ วันที่ 19 สิงหาคม สื่อก็ได้ออกข่าวทางทีวีที่ไม่เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายแต่ว่าเป็นคนร้ายไปขโมยถอดเหล็กกับนอตยึดหมอนรถไฟจำนวนมาก ในเส้นทางรถไฟเขตพื้นที่ติดต่ออำเภอชะอำกับหัวหิน ทำให้รถไฟ 6 โบกี้ตกรางเสียหาย โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิตเรื่องนี้ก็มาจากพิษเศรษฐกิจเช่นกัน

ผมฟังดูแล้ว ก็ขอชื่นชมสื่อส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ที่ได้มีความรู้ผิดรู้ชอบด้วยกันมีความรักประเทศชาติด้วยกัน ที่กล้านำข้อเท็จจริงมาบอกกล่าวให้ผู้ที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาลให้รู้มากกว่าฟังข้าราชการและหน่วยงานรอบตัว

Advertisement

เรื่องการฆ่าตัวตายของคนไทยที่มีมากมายในปัจจุบัน ในสายตาผมเห็นว่ามากกว่าในรัฐบาลทุกยุคทุกยุคทุกสมัย ผมไม่ได้กล่าวหารัฐบาลนี้ เพราะไหว้ครูกันยังไม่จบสิ้น แต่รัฐบาล คสช. ก่อนหน้านี้ ที่อยู่นานถึง 5 ปี ซึ่งคนที่เจอทุกข์ร้อนทั้งหลายกำลังกล่าวถึงนั่นแหละน่าจะต้องรู้ตัวเองดีกว่าใครๆ

ดัชนีที่ชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังแพร่พิษร้ายยังมีอีกมาก ที่ชัดๆ ก็คือยาเสพติดที่มีขายดาษดื่นทั่วประเทศในตอนนี้ มากขนาดที่ตำรวจที่มีหน้าที่ปราบปรามโดยตรงแทบจะฆ่าตัวตายกันอยู่แล้ว มันอะไรกันนักกันหนา ติดคุกแล้วออกมาก็ยังกลับมาค้ายาบ้าอีกนี่ก็มาจากพิษเศรษฐกิจตกต่ำนั่นแหละ

นอกจากนี้ ตัวดัชนีที่ชี้ว่าเศรษฐกิจตกต่ำยังมีอีกมาก การคอร์รัปชั่นในหมู่ข้าราชการระดับที่ไม่ใช่หัวแถวก็บานปลาย ไม่เฉพาะข้าราชการส่วนกลางเท่านั้น ข้าราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นที่ไกลปืนเที่ยงก็มีการโกงกินกันเป็นดอกเห็ด ตอนนี้ลองฟังท่าน ส.ส.ทั้งหลายอภิปรายกันในสภาดูมั่ง จะได้รู้กันอีกมาก

คราวนี้ถ้าท่านจะถามว่า จะมีการแก้ไขกันอย่างไร จึงจะหยุดยั้งเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ได้ คำตอบคือมันยาก ที่ยากไม่ใช่เพราะปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ถาโถมเข้ามา สถานการณ์เศรษฐกิจโลกตอนนี้เศรษฐกิจมันถดถอยกันทั่วโลก ชาติใหญ่ๆ ต่างก็ทรุด ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ เยอรมนี และประเทศยุโรปทั่วไป กลุ่มอาเซียนก็ต้องโดนลากให้ตกต่ำลงด้วย ประเทศที่พึ่งการส่งออกมากอย่างสิงคโปร์ก็ร้องโอดโอย ฮ่องกงการขยายตัวก็เริ่มติดลบแล้ว ไม่มีการประท้วงก็จะเอาไม่อยู่ ครั้นเกิดประท้วงขึ้นก็หนักข้อใหญ่

เรื่องดอกเบี้ยนี้โดยสภาพแล้วส่วนใหญ่ก็จะถึงพื้นอยู่แล้ว พื้นของอัตราดอกเบี้ยแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ยังมีปัจจัยโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจและการเงินประกอบอีกแต่แม้ว่าทุกประเทศจะพร้อมใจลดลงอีก อย่างในสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังกดดันเฟดหรือธนาคารกลางให้ลดดอกเบี้ยอีก 0.25-0.50% แต่แม้จะลดได้ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโลกที่เป๋มากอยู่แล้วขณะนี้ให้กระเตื้องได้ ก็คงต้องใช้เวลาเป็นปีสองปี ไม่มีทางที่จะปรู๊ดปร๊าดได้ง่ายๆ

ที่กล่าวว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของไทยในขณะนี้ และที่จะตกต่ำลงไปกว่านี้อีกแม้ปัจจัยต่างประเทศจะกระเตื้องขึ้น แต่ในอนาคตอันสั้นจะแก้ไขได้ยากนั้น อย่างดีหุ้นอาจเพิ่มขึ้นได้บ้าง แต่เศรษฐกิจมวลรวมของไทยยังจะไม่มีทางฟื้น ปกติระบบเศรษฐกิจก่อนฟื้นได้ มันจะต้องตกไปถึงจุดต่ำสุดก่อน คือต้องเข้ารูปตัววี (V-Shape) ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้โอกาสฟื้นยังไม่ต้องคิด ที่พอจะคิดได้คือ ทำอย่างให้ก้นของตัว V ตื้นกว่าปกติแต่ก็คิดว่ารัฐบาลนี้น่าจะไม่มีทั้งปัญญาและโอกาส

ตามที่วิเคราะห์ออกมาอย่างนี้เป็นเพราะประการแรกพื้นฐานของการเมืองไทยแย่มากๆ เทียบกับประเทศอื่นๆ ทั้งใกล้และไกล การเมืองประเทศอื่นดูจะมั่นคงกันหมดแล้ว แต่ของไทยสภาพเหมือนต้นไม้น้ำมีขยะมูลฝอยเกาะเต็มที่ลอยปริ่มน้ำ แต่ละวันที่ผ่านไปใจคอก็พะวงอยู่แต่ว่า เมื่อไหร่ลมจะพัดให้ต้นไม้พร้อมขยะนั้นกระดอนกระเด็นออกไปจากผิวน้ำ ดูแล้วน่าสงสาร

ประการต่อมารัฐบาลที่มีสมาชิกจำนวนไม่น้อยสืบทอดมาจากระบบเผด็จการ คสช. ไม่รู้จักเครื่องม้อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่เคยรู้เลยก็ว่าได้ว่ามาตรการแนวตั้งควรมีอะไรบ้าง ส่วนแนวนอนซึ่งเป็นมาตรการที่ต้องทำเพื่อให้เป็นหลักความเจริญในระยะกลาง และเพื่อความรุ่งโรจน์ของชนชาติในระยะยาวอย่างที่ประเทศจีนเขาทำมาตลอด 30 ปีที่ผ่านมาเรามีอะไรบ้าง ที่เห็นทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างค่อนข้างจะระห่ำ

เงินของรัฐที่จะอัดฉีดที่ผ่านคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้จำนวนประมาณ 320,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 10% ของงบประมาณประจำปี 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท นับว่าเป็นเงินจำนวนมากโขอยู่ ดูออกเลยว่าประมาณ 1/3 ของจำนวนที่อัดฉีดหรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงบสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยก็จะต้องเป็นงบที่ต้องจัดให้อย่างถาวรตลอดไป แต่อีก 2/3 หรือประมาณ 200,000 ล้านบาท จะเป็นงบที่คล้ายน้ำพริกที่เทใส่ลงไปในคลองหน้าทำเนียบรัฐบาล ผลที่สุดก็สูญเปล่าแถมด้วยการเพิ่มหนี้ครัวเรือนที่มีมากมหาศาลอยู่แล้ว ให้คนจนรับต่อไป

ทราบหรือไม่ว่าหนี้ครัวเรือนของประเทศไทย เมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ (GDP) ปีนี้มีจำนวน 12.8 ล้านล้านบาท เท่ากับร้อยละ 78.6 ของ GDP สูงเป็นอันดับที่ 10 ใน 89 ประเทศทั่วโลก หรือสูงเป็นอันดับที่ 3 ใน 29 ประเทศในเอเชีย ตอนนี้รัฐบาลนี้ยิ่งพอกหนี้ให้คนจนและเกษตรกรเข้าไปอีก ไม่นานพวกเขาคงแข็งตายด้วยหนี้กันหมด

ดูแล้วก็น่าเห็นใจรัฐบาลนี้ ณ ตอนนี้แม้จะเป็นช่วงไตรมาสแรกของรัฐบาลใหม่นี้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลเจอแต่ทางตัน หันซ้ายหันขวาไม่มีเครื่องมือให้แก้ปัญหาเลยผมจะขอแนะให้ถ้าไม่ว่ากัน ที่พอจะมีอยู่คิดว่ามีอยู่ 2 ทาง คือ

ประการแรกใช้งบประมาณปี 2563 ที่จะต้องนำไปใช้ตั้งแต่ตุลาคม 2562 ในอีกเดือนเศษข้างหน้านี้เป็นหัวหอก การใช้เครื่องมือนี้ต้องทำอย่างเร็วมาก รัฐบาลต้องกล้าจริง กล้าเหมือนศิษย์สำนักเส้าหลิน คือ จะต้องรื้องบประมาณนี้ โดยการตัดงบการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ติดภาระผูกพันจริงๆ หรือที่ควรตัดออกได้ หรือชะลอไปในปี 2564 ได้ ให้ตัดออกมาอย่างน้อยสองเท่าของงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติไปจำนวนประมาณ 320,000 ล้านบาท เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถ้าตัดออกมาได้สองเท่าของยอดนี้ ก็จะเป็นจำนวน 640,000 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของงบประมาณปี 2563 เมื่อได้มาก็ให้นำไปจัดจ่ายให้โครงการขนาดเล็กที่ทำได้จบภายใน 1 ปี ถ้าไม่จบก็ยืดการจ่ายงบได้เต็มที่ไม่เกิน 6 เดือน โครงการเล็กๆ ที่ควรทำต้องกำหนดขนาดไว้ไม่เกินโครงการละ 150 ล้านบาท

การกระตุ้นแบบนี้ในด้านเศรษฐกิจต้องเพิ่มไปที่โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านปรับปรุงถนนหนทางในท้องถิ่น ด้านชลประทาน การปลูกป่า ด้านส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ เป็นต้น และอีกประการหนึ่งก็เป็นโครงการด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้างอาคาร การจัดหาเตียง และอุปกรณ์ให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ โครงการปรับปรุงสวนสาธารณะ เช่น สวนลุมพินี และการสร้างสวนเพิ่มให้ทั่วทุกจังหวัด โครงการจัดการเรื่องขยะมูลฝอย โครงการจัดการความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม เป็นต้น

แนวทางที่เสนอนี้ทำได้อย่างแน่นอน ถ้าจัดขึ้นมาเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ ซึ่งก็ต้องคล้ายและใกล้เคียงกับนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีนักปราชญ์คนหนึ่งของไทย คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งท่านได้คิด “โครงการเงินผัน” ขึ้นมาในปี 2518 โครงการนี้ดังมากในอดีต ที่ทำให้ดังมากกว่าที่ควรจะเป็นก็เพราะมีคนโกงกินกันมากพวกกำนันผู้ใหญ่บ้านติดคุกกันมาก แต่ของใหม่ที่จะทำนี้ต้องป้องกันเรื่องตุกติก เรื่องคอร์รัปชั่น และโรคเอื้อผลประโยชน์ให้พวกพ้องตามนิสัยคนไทยให้เต็มที่ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการวางระบบพิเศษต่างๆ ทั้งในเรื่องจัดซื้อจัดจ้างและการตรวจสอบที่ดีให้ได้

ในเรื่องการเสนอโครงการอย่างเร็วและตรงกับความต้องการของชาวบ้านนั้น ก็ต้องให้ท้องถิ่น ผู้ว่าราชการจังหวัด และ ส.ส.ของแต่ละจังหวัดพรรคไหนก็ได้เป็นผู้เสนอขึ้นมาให้คณะกรรมการแต่ละสาขาเป็นผู้คัดกรองกัน แต่ทั้งหมดต้องให้เร็ว โดยข้าราชการของรัฐจะต้องทำให้เป็นและต้องทำงานหนัก

หนทางประการที่สอง ที่จะต้องนำมาแก้เศรษฐกิจตกต่ำที่เป็นสาเหตุทำให้คนไทยฆ่าตัวตายในยุคนี้ คือ การสนับสนุนซึ่งอาจรวมถึงการจัดเตรียมกองทุนสำหรับไปอุดหนุนโครงการค้ำประกันราคาพืชผลหลักทางการเกษตรอย่างจริงจัง ถ้าไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นนโยบายระดับชาติก็จะไปไม่รอดอีก แต่อย่างที่ว่าต้องมีกลไกที่สามารถปิดป้องการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ได้ ก็อย่างว่าน่าจะยากอยู่เพราะรัฐบาลไทยป้องกันเรื่องคอร์รัปชั่นไม่เคยเป็น

ติดตามบทความ สมหมาย ภาษี ที่เฟซบุ๊ก
Sommai Phasee — สมหมาย ภาษี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image