พณ.ชี้ประโยชน์เอฟทีเอ ดันไทยติดTop10 ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรโลก

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยในช่วงสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว พบว่าช่วง 7 เดือนแรกปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรสู่ตลาดโลกคิดเป็นมูลค่ารวม 23,741 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ไทยขยับลำดับขึ้นมาเป็นประเทศผู้นำในการส่งออกสินค้าเกษตรสู่ตลาดโลก ลำดับที่ 10 จากเดิมลำดับที่ 11 ในปี 2561 และหากเทียบกับกลุ่มสมาชิกอาเซียน ไทยเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าเกษตรสูงที่สุดอีกด้วย

นางอรมน กล่าวว่า ในสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศต่างๆ หดตัว ความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ)เป็นกุญแจสำคัญช่วยสร้างแต้มต่อให้สินค้าเกษตรไทย มีศักยภาพด้านการแข่งขันสูงในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย โดยช่วง 7 เดือนแรกปี 2562 การส่งออกสินค้าเกษตรไทยไป 18 ประเทศคู่เอฟทีเอ ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และฮ่องกง มีมูลค่ารวม 16,833 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 70 ของการส่งออกสินค้าเกษตรไทยทั้งหมด

” มีคู่ค้าสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน จีน และญี่ปุ่น สอดคล้องกับสถิติช่วงครึ่งปี 2562 ที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเกษตรด้วยเอฟทีเอสูง โดยเฉพาะยางพารา มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ผลไม้สดและแปรรูป ไก่สดแช่แข็ง เป็นต้น”

สำหรับเอฟทีเอที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเกษตรสูงเป็นอันดับต้น ได้แก่ เอฟทีเอระหว่างอาเซียน (ฝรั่ง มะม่วง มังคุด) เอฟทีเออาเซียน-จีน (ยางพารา ทุเรียน มันสำปะหลัง มะม่วง ฝรั่ง มังคุด) เอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น (เนื้อไก่และเครื่องในไก่ เนื้อสัตวปีกแช่แข็ง กุ้งปรุงแต่ง) เอฟทีเออาเซียน-ญี่ปุ่น (กุ้งปรุงแต่ง ปลาแมคเคอเรล/ปลาซาร์ดีนปรุงแต่ง) เอฟทีเออาเซียน-เกาหลี (ฝรั่ง มะม่วง มังคุด) เอฟทีเออาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ปลาทูน่าปรุงแต่ง) เอฟทีเอไทย-ชิลี (ปลาทูน่า ปลาสคิปแจ๊ค)

Advertisement

นางอรมน กล่าวว่า สินค้าเกษตรไทยที่มีอัตราการเติบโตช่วง 7 เดือนแรกปี 2562 เช่น ผลไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 เครื่องเทศและสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ผัก เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ไก่สด เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 มีตลาดส่งออกสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ จีน ขยายตัวร้อยละ 14 ฮ่องกง ขยายตัวร้อยละ 13 สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 8 เกาหลีใต้ ขยายตัวร้อยละ 8 ออสเตรเลีย ขยายตัวร้อยละ 1.5 เป็นต้น

ซึ่งกรมฯ ให้ความสำคัญกับการเจรจาผลักดันให้คู่ค้าลดเลิกภาษีและอุปสรรคทางการค้า เพื่อสร้างความได้เปรียบและโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตรของไทยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการทบทวนความตกลงเอฟทีเอที่มีอยู่แล้ว เอฟทีเอที่อยู่ระหว่างการเจรจา เช่น อาร์เซ็ป ตุรกี ปากีสถาน และศรีลังกา และเอฟทีเอที่มีแผนจะเจรจาในอนาคต เช่น สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร เป็นต้น

ปัจจุบันมีเกษตรกรไทยจำนวนมากที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาสินค้าเกษตรไทยออกสู่ตลาดต่างประเทศ จึงขอเชิญชวนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงเอฟทีเอที่ประเทศคู่ค้า ลดภาษีศุลกากรให้กับสินค้าเกษตรไทย ตรวจสอบข้อมูลที่ http://ftacenter.dtn.go.th

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image