ไม่อยากมองเศรษฐกิจปีหน้า โดย สมหมาย ภาษี

การประกาศลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลืออัตราดอกเบี้ยทางการของธนาคารกลางหรือเฟด (Federal Reserve) ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้อยู่ในอัตรา 1.50%-1.75% ถือว่าเป็นการตั้งใจที่ได้ไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้วของผู้กุมนโยบายการเงินของสหรัฐและของโลก

เหตุผลที่ต้องลดก็เพื่อต้องการใช้นโยบายการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกา เพื่ออเมริกาก่อน ตามนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่าอเมริกันต้องมาก่อนนั่นเอง ส่วนของประเทศอื่นเป็นเรื่องรอง

ภาวะเลวร้ายทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐตามที่นักวิเคราะห์ของเขาพูดกันทุกสำนักในขณะนี้ เกิดจากสาเหตุสำคัญ 3 ประการ คือปีนี้ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐเลวร้ายที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ปีนี้อัตราการว่างงานในสหรัฐสูงที่สุดในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา และปีนี้เป็นปีที่ต้องเริ่มทำการรณรงค์เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปในปีหน้า

ก่อนหน้าที่ Mr.Jerome Powell ประธานเฟดจะประกาศลดดอกเบี้ยเงินดอลลาร์สหรัฐไม่กี่วันกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (IMF) โดยนาย Jonathan Ostry ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียและแปซิฟิก ได้ออกมาแถลงข่าวการตัดทอนอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของประเทศที่สำคัญในเอเชียว่าจะลดต่ำลงทุกประเทศในปี 2562 นี้ เช่น ฮ่องกง เหลือโต 0.3% เกาหลีใต้ 2.0% มาเลเซีย 4.5% อินโดนีเซีย 5.0% ฟิลิปปินส์ 5.7% และไทยโตแค่ 2.9% ยิ่งกว่านั้น ในปีหน้า 2563 การเติบโตในเอเชียก็คงเพิ่มขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยของไทยนั้นก็จะโตเพียง 3.0% เท่านั้น ขออย่าได้คาดหวังว่าจะดีเด่กว่านี้อีกเลย

Advertisement

นอกจากคาดการณ์เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว IMF ยังได้ชี้ให้เห็นในเรื่องการส่งออกของประเทศสำคัญๆ ในเอเชียว่า ปี 2562 ที่กำลังจะหมดไปนี้ การส่งออกซึ่งเป็นตัวค้ำยันการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศในเอเชียก็จะผิดเป้าหมายที่ตั้งไว้กลายเป็นติดลบกันมากมาย โดยประเทศเกาหลีใต้ส่งออกจะติดลบสูงสุด -20% ญี่ปุ่น -5.2% ไต้หวัน -4.9% และประเทศไทยตาดำๆ ก็จะเป็น -1.39%

ตัวเลขประมาณการการส่งออกปีนี้ที่ติดลบนี้ ไม่ใช่เฉพาะ IMF เท่านั้นที่ออกมาว่าติดลบ สถาบันที่สำคัญๆ ของไทยต่างก็คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย -1.0% สภาพัฒน์ -1.2% ซึ่งสองหน่วยงานนี้ยังสงวนท่าทีให้เห็นความเกรงใจรัฐบาลอยู่ แต่ภาคเอกชนไทยเขากล้าพูดความจริง กล่าวคือศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะถึง -2.0% ธนาคารไทยพาณิชย์ -2.5% เพราะฉะนั้นปี 2562 นี้ การส่งออกของไทยติดลบแน่

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้เขียนเรื่อง “การส่งออกที่ส่งไม่ค่อยออก” ไปแล้ว ซึ่งได้คำนวณตัวเลขให้เห็นว่าถ้าตัวเลขการส่งออกปี 2562 ขยายตัวที่ 0% ตัวเลขการส่งออกจะวูบไปถึง 350,000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับเมื่อต้นปีที่ทางการตั้งประมาณการส่งออกไทยปีนี้จะโต 4.4% ตอนนี้ถ้าเอาตัวเลขของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ว่าอาจติดลบถึง -2.0% ถ้าเป็นจริงดังว่า กล่าวคือการส่งออกปี 2562 ที่ว่าจะโต 4.4% เมื่อตอนต้นปี แต่กลับมาลดลง 2.0% ตัวเลขอัตราการขยายตัวที่จะขาดหายไปก็ต้องเป็น 6.4% มูลค่าการส่งออกที่จะวูบไปในปีนี้ก็จะเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท ใครจะอยู่รอดให้คนสาปแช่งก็ขอให้อยู่ไป

Advertisement

การที่ธนาคารกลางของสหรัฐได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ของเขาลงอีก 0.25% นั้นธนาคารกลางของประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ก็ต้องลดดอกเบี้ยสกุลเงินของตนลงตาม ยิ่งของไทยก็จะพิจารณากันในวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ บอกได้เลยว่าลดตามแน่ เพียงแต่ว่าจะเป็น 0.25% หรือ 0.50% ทำไมไทยต้องลดอัตราดอกเบี้ยตอบได้คำเดียวว่า เพราะเราเดินตามสหรัฐมาตลอดทั้งๆ ที่เราค้าขายกับประเทศอื่นอีกมากแต่เราคิดเองไม่เป็น บางครั้งทำเป็นจะคิดนอกกรอบ แต่ก็ไม่กล้าทำ ต่างกับประเทศญี่ปุ่น คราวนี้ญี่ปุ่นอยู่เฉยไม่ยอมลดด้วย

ตอนนี้เงินบาทของไทยแข็งอยู่มาก เมื่อดอลลาร์สหรัฐลดดอกเบี้ยลง เงินบาทก็จะยิ่งแข็งขึ้นไปอีก ถ้าเราลดตามแค่ 0.25% ซึ่งประเทศคู่ค้าของไทยอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็จะลดตาม ก็แปลว่าเราจะยืนความแข็งค่าของเงินบาทไว้เท่าเดิม หามีอะไรใหม่ออกมาไม่ อย่างนี้อยากถามว่าเรามีนโยบยการเงินไว้ทำอะไรหรือ

หันมาดูนโยบายการคลังในปัจจุบันกันบ้าง ผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ทั้งรัฐบาล คสช. ที่เพิ่งพ้นหน้าที่ไปเมื่อไม่กี่เดือน และจนถึงรัฐบาลปัจจุบันที่ได้ลงไม้ลงมือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจนตกต่ำหัวปักหัวปำในขณะนี้ เขาได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวกันบ้าง ดูๆ ไปก็มีอยู่ 2 นโยบายเท่านั้นที่ออกมา

นโยบายแรก ออกมาล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง คือการแจกเงินสวัสดิการให้คนยากคนจน ใช้เงินในปีงบประมาณที่แล้วเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 60,000 ล้านบาท เห็นจะได้ และจะใช้ต่อไปในปีงบประมาณ 2563 นี้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้ผลแต่อย่างใด ที่ไม่ได้ผลเพราะรากหญ้าทั่วประเทศยังอยู่ในฐานะหน้าหงายติดดินอ้าปากระรวยอยู่แล้ว ได้เงินสวัสดิการมาแค่นั้นทำให้เขารู้สึกรอดตัวชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น การแจกเงินแบบที่ทำมาอาจได้คะแนนเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยรากหญ้าให้ลุกขึ้นลืมตาอ้าปากได้อย่างยั่งยืนแต่อย่างใด

นโยบายที่สอง เป็นนโยบายที่ออกมาใช้ติดต่อกัน 2 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และยังมีเสียงดังๆ ออกมาจากเจ้าของนโยบายระดับรองนายกรัฐมนตรีว่าจะออกมาอีกต่อไป นโยบายนี้คือ นโยบาย “ชิม ช้อป ใช้” จะแจกเงินตรงหรือแจกทางอ้อมโดยวิธีไหนก็ตาม เงินแค่ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ที่ออกมาใช้ในเรื่องนี้ในช่วงหนึ่งไตรมาส มันไม่สามารถสำแดงผลอะไรได้หรอก นอกจากแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของผู้นำความคิดนี้มาใช้ เงินจำนวนนี้ที่จริงก็นำมาจากงบประมาณหมวดเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ตั้งไว้ในงบกลางในปี 2562 จำนวน 99,000 ล้านบาท ถือเป็นเศษเงินที่เหลือจากงบกลาง ถ้าปี 2563 งบกลางถูกตัดทอนลงมากหน่อย ถามว่าจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างให้รากหญ้าไปชิมไปช้อป
แบบนี้

ที่ยกเรื่องการใช้นโยบายการคลังแก้เศรษฐกิจตกต่ำของรัฐบาลในช่วงปีกว่าที่ผ่านมานี้ ก็เพื่อให้รู้ว่ารัฐบาลเองไม่มีนโยบายอะไรที่พอจะนำไปวัดไปวาได้มาแสดงให้เห็นเลย

ทีนี้ลองมองเข้าไปให้เห็นภาพของเศรษฐกิจปีหน้า 2563 ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยของเราบ้างทั้งๆ ที่ไม่อยากมอง เพราะจากเค้าลางที่พอมองเห็นได้ตอนนี้ดูไม่ต่างจากภาพของไต้ฝุ่นลูกหนักๆ ลูกแล้วลูกเล่า ที่จะทยอยขึ้นฝั่งเข้ามาในแผ่นดินขวานทองนี้อย่างแน่นอน

ติดตามบทความ สมหมาย ภาษี ที่เฟซบุ๊ก
Sommai Phasee — สมหมาย ภาษี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image