ส.อ.ท.เผยยอดสั่งปฏิทิน-ส.ค.ส.หด5% เกาะติดเทรดวอร์กระทบจ้างงาน

ส.อ.ท.เผยยอดสั่งปฏิทิน-ส.ค.ส.หด5% เกาะติดเทรดวอร์กระทบจ้างงาน

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และในฐานะประธานกิติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ส.อ.ท. กล่าวถึงธุรกิจสิ่งพิมพ์ช่วงเทศกาลปีใหม่ ว่า แนวโน้มยอดคำสั่งจัดพิมพ์ปฏิทิน สมุดจดบันทึก(ไดอารี่) และบัตรส่งอวยพรความสุข(ส.ค.ส.) เพื่อส่งมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2563 มีทิศทางชะลอตัวจากปี 2562 ประมาณ 5% เนื่องจากบริษัท ห้างร้าน ส่วนมากตัดงบประมาณลงอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้บางส่วนปรับเปลี่ยนตามเทคโนโลยีโดยเฉพาะส.ค.ส.นั้น เหลือพิมพ์ในอัตราที่ต่ำต่อเนื่อง เพราะคนส่วนใหญ่หันไปอวยพรผ่านสมาร์ทโฟน อาทิ ไลน์ เฟซบุ๊ก แทน

“ภาพรวมอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ตลอดปีนี้คาดว่าจะยังเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากตลาดบรรจุภัณฑ์ยังมีตลาดใหม่ๆรองรับแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ลดลงก็ตาม ซึ่งมูลค่าอุตสาหกรรมการพิมพ์และการบรรจุภัณฑ์ไทยจะอยู่ที่ราว 3 แสนล้านบาทเป็นอุตสาหกรรมการพิมพ์ 1.2 แสนล้านบาท การบรรจุภัณฑ์1.8 แสนล้านบาท”นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกรกล่าวว่า สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยนั้น ส.อ.ท.มองไปในทิศทางเดียวกับสศช.ที่ได้ปรับลดประมาณการณจีดีพีทั้งปีเหลือโต 2.6% จากเดิม 2.8% ขณะที่ส่งออกภาพรวมของไทยปี 2562 ส.อ.ท.เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วง 0-2% หากมองทิศทางล่าสุดจากการส่งออก 9 เดือนแรกที่ลดลง 2.1% แนวโน้มทั้งปีคงจะติดลบ ซึ่งปัจจัยหลักยังคงมาจากผลกระทบสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเป็นสำคัญ ส่วนปัจจัยที่มีผลรองมาจากเทรดวอร์ คือค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาต่อเนื่อง ทำให้ศักยภาพการส่งออกไทยลดลง แม้ล่าสุดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.25% ต่อปี ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยผ่อนคลายไปในทิศทางที่อ่อนค่าลงมาเล็กน้อย แต่ภาพรวมค่าเงินบาทไทยยังคงแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของไทย ทำให้ส.อ.ท.ยังคงต้องติดตามปัจจัยค่าเงินใกล้ชิดต่อไป

Advertisement

“เทรดวอร์มีผลกระทบกับอุตสาหกรรมบางกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในประเภทยานยนต์และชิ้นส่วน ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูปบางชนิด ทำให้กิจการที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบเกิดการปรับตัว มีการลดต้นทุน คาดว่าจะต่อเนื่องในปี 2563 อาทิ ลดทำงานล่วงเวลา ลดกะทำงาน ปิดชั่วคราวจนกว่าสต็อกจะหมด หากที่สุดยังรับภาระไม่ได้ก็ปิดกิจการ แต่ในเวลาเดียวกันยังมีโรงงานบางส่วนได้รับผลบวกก็ยังมีการขยายงาน จึงต้องติดตามในระยะยาวมากกว่า”นายเกรียงไกรกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image