สกู๊ปหน้า1: ปิดฉาก‘ซีเกมส์ ครั้งที่ 30’คู่แข่งเดินหน้า ไทยถอยหลัง!

การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ปิดฉากลงแล้ว กีฬามีทั้งที่ประสบความสำเร็จ ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ ต่ำกว่าเป้าและพอดีเป้า

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมแล้ว ถือว่าครั้งนี้ทัพนักกีฬาไทยทำผลงานไม่น่าประทับใจนัก

ตารางเหรียญ ไทยจบอันดับที่ 3 คว้าไปได้ 92 เหรียญทอง 103 เหรียญเงิน 123 เหรียญทองแดง เป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 28 ปี หลังจากซีเกมส์ก่อนหน้านี้ 14 ครั้ง ถ้าไม่เป็นเจ้าเหรียญทองก็จะจบเป็นอันดับ 2 ครั้งสุดท้ายที่จบต่ำกว่าอันดับ 2 คือซีเกมส์ ครั้งที่ 16 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ปี 2534 ครั้งนั้นจบอันดับ 3 เป็นรองอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

ส่วนเจ้าเหรียญทองเป็นของ “เจ้าภาพ” ฟิลิปปินส์ ทำไป 149 เหรียญทอง 117 เหรียญเงิน 120 เหรียญทองแดง เป็นแชมป์สมัยที่ 2 ต่อจากซีเกมส์ ครั้งที่ 23 ที่เป็นเจ้าภาพเอง เมื่อ 14 ปีที่แล้ว อันดับ 2 เป็นเวียดนาม 98 เหรียญทอง 85 เหรียญเงิน 104 เหรียญทองแดง ถือเป็นการชนะไทยได้อีกครั้ง ในรอบ 16 ปี หลังจากเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 22 ที่จัดในบ้านตัวเอง เมื่อปี 2546

Advertisement

การประเมินเหรียญรางวัลก่อนการไปแข่งขัน ทุกสมาคมหวังรวมกันไว้ 121 เหรียญทอง ซึ่งคาดการณ์กันไว้แล้วว่าจำนวนเท่านี้ไปไม่ถึงการเป็นเจ้าเหรียญทองแน่ๆ เพราะเจ้าภาพไม่น่าจะได้ต่ำไปกว่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันปิดฉากลง เหรียญทองของไทยต่ำกว่าเป้า 29 เหรียญ แน่นอนว่ามีหลายชนิดกีฬาที่น่าผิดหวัง

ฟุตบอลเป็นเหรียญใหญ่ที่น่าผิดหวังที่สุด เพราะการมาแบบแชมป์เก่า 3 สมัย มีตัวนักเตะรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่มาจากทีมชาติชุดใหญ่ชุดใหญ่หลายคน ทั้ง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด, เอกนิษฐ์ ปัญญา แต่กลับเปิดหัวด้วยการแพ้อินโดนีเซีย 0-2 แม้ว่านัดสุดท้ายจะนำเวียดนาม 2-0 แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะได้ ท้ายที่สุดเวียดนามฉลองแชมป์ซีเกมส์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฟุตบอลหญิงที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะล้มเวียดนามเพื่อคว้าแชมป์ให้ได้ ก็มาโดนยิงประตูชัยช่วงต่อเวลาพิเศษ เป็นรองแชมป์ไปอีกสมัย เรียกได้ว่าหนนี้แพ้เวียดนามราบคาบ ทั้งในตารางเหรียญและฟุตบอลเลยทีเดียว

เทนนิส ที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะได้ 3 เหรียญทองเพราะมีนักกีฬาเก๋าๆ ที่ผ่านซีเกมส์มาหลายต่อหลายครั้ง “ต้น-ต้อง” สนฉัตร-สรรค์ชัย รติวัฒน์, “แทมมี่” แทมมารีน ธนสุกาญจน์,“จูเนียร์” วิชยา จรงเจริญชัยกุล แต่กลับไม่ได้เลยแม้แต่แชมป์เดียว นับเป็นการไร้เหรียญทองครั้งแรกของทัพเทนนิสไทย ในรอบ 32 ปี

Advertisement

แบดมินตันก็ไม่ได้เหรียญทองในประเภทบุคคลเลย ถึงแม้จะเริ่มต้นได้ดี เก็บแชมป์ทีมหญิงมาได้ตั้งแต่ช่วงแรก แต่ในประเภทเดี่ยวทั้ง 5 รายการ เข้าชิงชนะเลิศ 2 รายการ ในประเภทหญิงคู่และชายคู่ แต่แพ้เรียบ ต่างจากซีเกมส์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่ประเทศมาเลเซีย ที่ได้มาถึง 4 เหรียญทอง

กอล์ฟก็ตั้งเป้าว่าจะเหมา 4 เหรียญทอง แต่ได้มา 2 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง ผิดเป้าไปมากอีกสมาคมหนึ่ง ว่ายน้ำตั้งเป้า 2 ทองได้มาแค่ 1 บิลเลียดและสนุกเกอร์วางเป้า 2 ได้มาเหรียญเดียว วูซูไม่มีเหรียญทองติดมือ

ในส่วนของกีฬาที่ประสบความสำเร็จเก็บเหรียญได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เทควันโดตั้งเป้าไว้ที่ 4 เหรียญทอง ได้มาถึง 7 เหรียญ เป็นเจ้าเหรียญทองในกีฬาของตัวเอง เช่นเดียวกับจักรยานหวังไว้แค่ 2 เหรียญทอง แต่ได้มา 7 เหรียญ, มวยสากลได้ 5 เหรียญทองตามเป้า, ยูโดคาดเอาไว้ที่ 4 เหรียญทอง ได้ถึง 7 เหรียญ, กรีฑาคาดการณ์คร่าวๆ ไว้ที่มั่นใจ 6 เหรียญทอง แต่ได้มา 12 เหรียญ อย่างไรก็ตาม สำหรับกรีฑาเป็นจำนวนเหรียญปกติอยู่แล้ว เพราะซีเกมส์หลายสมัยหลังก็ได้เหรียญทองมาในระดับนี้ ตะกร้อส่ง 3 รายการ ได้แชมป์กลับบ้านทั้งหมด แถมยังทวงแชมป์ทีมเดี่ยวชายกลับมาได้อีกครั้ง ยิงปืนตั้งเป้า 3 เหรียญทอง ได้มา 4 เหรียญ, มวยไทยหวัง 3 เหรียญทอง ได้ 4 เหรียญทอง

กีฬาประเภททีมก็น่าสนใจหลายชนิด วอลเลย์บอลมีทั้งน่าผิดหวังและน่าปรบมือให้ทีมหญิงในร่มเก็บแชมป์สมัยที่ 14 ได้ตามคาด แต่ทีมชายได้แค่เหรียญทองแดง เสียแชมป์ไปแบบน่าเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม วอลเลย์บอลชายหาดได้มา 1 เหรียญทองจากทีมหญิง ส่งท้ายเข้าเป้า 2 เหรียญทองที่สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทยฯวางเอาไว้ ส่วนบาสเกตบอลมีชิงชัย 4 เหรียญทอง ทั้งบาสเกตบอลและทรีออนทรี คาดหวังกันไว้ว่าจะได้ 2 แชมป์ แต่ผิดหวังทั้งหมด รักบี้, โปโลน้ำ, ฟลอร์บอล รอดตัวไปเพราะต่างทำได้ 1 เหรียญทองตามเป้า แต่ฮอกกี้, เบสบอล, ซอฟต์บอล ก็ไม่ได้เหรียญทองอย่างที่ประกาศไว้แต่แรก

ด้วยความที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคงไม่สามารถเอาชนะฟิลิปปินส์ในการลุ้นเจ้าเหรียญทองได้ คีย์แมนกีฬาไทยก็ได้บอกตรงกันว่า จะเป็นรองแชมป์ในตารางเหรียญรวม และเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียนในชนิดกีฬาสากลที่มีในโอลิมปิกเกมส์ให้ได้ เพราะกีฬาเหล่านี้ไทยเหนือกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว

ท้ายที่สุด 26 ชนิดกีฬาที่มีในโอลิมปิก ไทยเก็บมาได้ 46 เหรียญทอง 56 เหรียญเงิน 59 เหรียญทองแดง เป็นรองเวียดนามที่เป็นเบอร์หนึ่ง 55 เหรียญทอง และฟิลิปปินส์ 53 เหรียญทอง เรียกได้ว่าซีเกมส์ครั้งนี้ทัพไทยแพ้ทั้งระบบ ไม่มีอะไรให้น่าจดจำนัก เวียดนามแฮปปี้ที่สุดในบรรดาทุกชาติ เพราะได้ทั้งแชมป์ฟุตบอลชาย-หญิง รองเจ้าเหรียญทอง แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีของคู่แข่งในอาเซียนอย่างชัดเจน

“บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ให้เหตุผลว่า ครั้งนี้ไทยเน้นนักกีฬาหน้าใหม่เข้ามาถึง 57 เปอร์เซ็นต์ หรือ 550 คน ดังนั้น ยังมีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่านี้ในอนาคต ในส่วนของวิทยาศาสตร์การกีฬาต้องยอมรับว่าตอนนี้เราเน้นแค่เรื่องของป้องกันอาการบาดเจ็บ หรือทำให้ร่างกายทนทานต่อการซ้อมและการแข่งขัน หลายคนอาจจะมองว่าซีเกมส์ครั้งนี้เรื่องโปรแกรมอาจจะมีส่วนทำให้บาดเจ็บ แต่ทุกชาติก็เจอปัญหาเช่นเดียวกัน ดังนั้นมันไม่ใช่ข้อแก้ตัว และต้องเร่งปรับปรุงให้เร็วที่สุด

อีกเหตุผล คือ โครงสร้างพื้นฐานของกีฬาไทยยังด้อยกว่าคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค ทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม เพราะชาติเหล่านี้มีทั้งสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งชาติ และโรงพยาบาลกีฬา แต่ไทยยังอยู่ในช่วงตั้งไข่

“สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ไทยจะต้องรีบดำเนินการ ทำโครงสร้างพื้นฐานให้ดี พัฒนาบุคลาการให้เพียงพอ เพราะตอนนี้ต้องยอมรับแล้วว่าไทยยังล้าหลังหลายๆ ประเทศในอาเซียนอยู่ จริงอยู่ที่ครั้งนี้เราอาจจะพลาด แต่เชื่อว่าถ้ามีการทำงานร่วมกันระหว่าง กกท., คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และสมาคมกีฬาต่างๆ ทำงานกันให้จริงจังมากกว่านี้ ปรับกลยุทธ์ต่างๆ ที่จะไปต่อสู้กับชาติอื่นๆ เราก็ยังมีโอกาสจะกลับมาได้ในครั้งหน้า” ผู้ว่าการ กกท.กล่าว

จากผลงานที่เห็นกันมาแล้ว ได้ข้อสรุปอยู่ 2 อย่าง ถ้าคู่แข่งไม่เก่งขึ้น กีฬาก็คงถอยหลัง หรืออาจจะทั้ง 2 เหตุผล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image