หุ้นไทยยืนบวกไม่ไหว ลบ 1.09 จุด หลังเจอแรงเทขายทำกำไรฉุดร่วง

วันที่ 17 ธันวาคม 2562 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ1,549.74 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ  1,554.07 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,548.65 จุด ปรับลดลง 1.09 จุด หรือ 0.07% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,556.82 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,543.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 59,566.12ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 696.88 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 677.35 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 880.20 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 899.73 ล้านบาท

โดยนายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนตลอดทั้งวัน เนื่องจากมีแรงเทขายเพื่อทำกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า อาทิ GULF, BGRIM, TPIPP และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวขึ้นแรง ส่วนหุ้นที่มีแรงซื้อกลับเข้ามาในวันนี้เป็นกลุ่มแบงก์ อาทิ BBL,SCB,KBANK รวมถึงหุ้นค้าปลีกคือ CPALL โดยนักลงทุนยังมีความกังวลในเรื่องการเมืองภายในประเทศ ที่จะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดต่อไป สำหรับข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐและจีน ที่สามารถตกลงกันได้ในเฟสแรก แต่ก็ยังไม่ได้มีการลงนามร่วมกันอย่างเป็นทางการ

“หากเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ถือว่าหุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยมาก และในช่วงต้นเดือนธันวาคม จนถึงปัจจุบันพบว่าต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 20,000 ล้านบาท ซึ่งหากดูสถิติย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยแล้วใน 2 สัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 6,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่าหากสงครามทางการค้ามีทิศทางบวก จะส่งผลดีต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในปี 2563 นอกจากนี้ หากรัฐมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้นได้” นายฐกฤตกล่าว

นายฐกฤตกล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นเรื่องการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี)  ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเอ) และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และจีดีพีสหรัฐ ส่วนกนง.ของไทย นักวิเคราะห์มีความเห็น 2 ด้านคือ คงดอกเบี้ยและปรับลงดอกเบี้ย โดยในส่วนของบล.เอเซียพลัสคาดว่ากนง.จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ไปจนถึงปี 2563 เนื่องจากที่ผ่านมาปรับลงมาแล้ว 2 ครั้ง และดอกเบี้ยในปัจจุบันถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ เน้นหุ้นเฉพาะตัวที่ให้ผลตอบแทนดี โดยให้กรอบเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,540 – 1,560 จุด

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image