‘เฟทโก้’ เชื่อข้อพิพาทสหรัฐ-อิหร่าน ยืดเยื้อแต่ไม่บานปลาย

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือนธันวาคม 2562 พบว่า ดัชนีมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80.75 หรือ ปรับตัวลดลง 8.17% โดยถือเป็นการปรับลดลงสูงที่สุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม-มีนาคม 2563) อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากที่สุดคือ ความคาดหวังนโยบายภาครัฐ รองลงมาคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)

นายไพบูลย์กล่าวกล่าวว่า ขณะที่นักลงทุนยังกังวลความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ทางการเมือง สำหรับปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ต้องติดตาม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจจากผลเจรจาทางการค้า ภายหลังข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก มีทิศทางดี และแนวโน้มการเจรจาข้อตกลงทางการค้าในเฟส 2 ต่อไป รวมถึงปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามคือ การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลปี 2563 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาการส่งออก ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ทางการเมือง

“ทิศทางเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มองว่าปี 2563 ไทยจะได้รับปัจจัยหนุนจากปี 2561 ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่าโดดเด่น เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก จึงน่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนเข้ามาได้ แต่ยังต้องประเมินจากภาพรวมเศรษฐกิจ และกำไรของบริษัทจดทะเบียนร่วมด้วย โดยในปี 2562 ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว อาทิ ผลกระทบจากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี กฎหมายแรงงาน ทำให้บริษัทจดทะเบียนต่างๆ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นผิดปกติแต่ปี 2563 ไม่ได้เจอกับปัจจัยเหล่านั้นแล้ว”นายไพบูลย์กล่าว

นายไพบูลย์กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่เกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ถือเป็นปัจจัยความไม่แน่นอนใหม่ ที่เข้ามาในตลาดทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งเบื้องต้นประเมินว่าจะมีความยืดเยื้อแน่นอน แต่เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นเกิดสงครามระหว่างกันขึ้น เพราะการทำสงครามน่าจะเป็นทางออกสุดท้าย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยผลกระทบระยะสั้นมองว่ากระทบกับบรรยากาศหุ้นทั่วโลก โดยประเทศไทยได้รับผลกระทบ แต่ถือว่าไม่มากนัก เพราะดูได้จากดัชนีหุ้นที่ปรับลดลง แต่เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ลดลงมากเท่าที่ควร

Advertisement

“แม้ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ข้อพิพาทดังกล่าว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นสูงมากในปัจจุบัน แต่ประเทศไทยยังมีแรงหนุน จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้การนำเข้าน้ำมันมีราคาถูกลง ซึ่งเชื่อว่าแม้จะเกิดความไม่สงบขึ้นราคาน้ำมันก็คงไม่ขึ้นไปสูงมากกว่านี้ เพราะสหรัฐก็เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ ต่างจากอดีตที่ตะวันออกกลางเป็นผู้ส่งออกน้ำมันหลัก”นายไพบูลย์กล่าว

นายไพบูลย์กล่าวว่า เบื้องต้นประเมินราคาน้ำมันคงจะไม่ปรับตัวสูงถึงระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากโดยส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์จะไม่ลุกลามเป็นสงคราม แต่ความเสี่ยงอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนในระยะยาว ทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นทำให้ภาพของเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2563 จะอยู่ที่ 1,700 จุด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image