‘ไทยพาณิชย์’ ให้เป้าดัชนีสูงสุด 1,750 จุด มองข้อพิพาทอิหร่าน-สหรัฐกระทบหุ้นเป็นระยะๆ

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (เอสซีบีเอส) เปิดเผยว่าคาดการณ์เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2563 จะปรับขึ้นได้จากปัจจัยพื้นฐาน และภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยประมาณการไว้ที่ 1,700-1,750 จุด ซึ่งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย  (บจ.) ในปี 2563 มองว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าปี 2562 ที่จะถูกปรับลดประมาณการณ์ลง โดยความเสี่ยงที่ยังมีอยู่เป็นเรื่องภัยแล้ง ที่ต้องยอมรับว่ามีความรุนแรงมาก จึงมีโอกาสที่จะกระทบกับกำลังซื้อในประเทศบ้าง แต่เนื่องจากเริ่มเห็นมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล ที่ทยอยออกมา จึงคาดว่าคงช่วยลดผลกระทบลงได้บ้าง โดยประเมินว่าตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลกับผลประกอบการบจ. จะมาจากธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าสัญญาณการฟื้นตัวในเชิงผลประกอบการเริ่มชัดขึ้น จึงเชื่อว่าตัวเลขผลประกอบการน่าจะมีเสถียรภาพกว่าปี 2562 ส่วนกำไรต่อหุ้น (อีพีเอส) อยู่ที่ 101 บาทต่อหุ้น แต่ยังไม่นิ่งเนื่องจากตัวเลขไตรมาส 4 ปี 2562 ยังไม่ออกมา จึงยังทยอยปรับลดลงอยู่

นายสุกิจกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเกิดข้อพิพาทระหว่างสหรัฐและอิหร่านถือเป็นเรื่องความเสี่ยงทางการเมืองระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะมีต่อเนื่องไป เพียงแต่ระดับความรุนแรงจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น ถือว่าทวีความรุนแรงกว่าเดิมแล้ว แต่จากการวิเคราะห์สถานการณ์ค่อนข้างเห็นได้ชัดว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศมากกว่า โดยถือเป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่านโดยตรง ซึ่งไม่ได้ถูกยกระดับขึ้นมาว่า จะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามขึ้นเหมือนในอดีต เห็นได้จากท่าทีของประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้ให้การสนับสนุน ในการที่สหรัฐไปโจมตีอิหร่านจนทำให้เกิดความสูญเสียขึ้น จึงสรุปสถานการณ์และประเมินว่าความเสี่ยงของการเมืองโลกยังคงไม่ได้จบไป แต่ว่าความรุนแรงคงจะอยู่ในระดับที่ไม่ไปไกลมากนัก และไม่บานปลายจนถึงการเกิดสงครามอย่างเต็มรูปแบบ แต่เหตุการณ์การโจมตีระหว่าง 2 ประเทศน่าจะเริ่มเห็นความที่เกิดขึ้นมากขึ้น

ความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกมองว่าน่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ  โดยในระยะสั้นการที่สหรัฐออกมาเปิดเผยว่าจะไม่ใช้กำลังทหารเข้าตอบโต้อิหร่านอีกครั้ง น่าจะทำให้ความกังวลที่เกิดขึ้นสงบลงไปได้แต่ความเสี่ยงอาจจะไม่ได้หายไป จึงต้องติดตามต่อไป เพราะหากถามว่าสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องการคืออะไร มองว่าเป็นการตกลงเรื่องน้ำมัน โดยจะต้องทำข้อตกลงกันใหม่อีกครั้ง จึงจะเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าความเสี่ยงลดลงจริงซึ่งหากมองภาพดูจะคล้ายสงครามการค้าที่จะมีการเจรจาร่วมกัน จึงมองว่าหากมีการเจรจาร่วมกันเกิดขึ้น ตลาดก็จะคลายความกังวลลง แต่หากยังไม่มีการเจรจาร่วมกันขึ้น ความกังวลในเหตุการณ์ก็จะดำเนินต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2563 เป็นปีที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งใหม่ จึงต้องดูหลังจากนั้นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ต่อไปหรือไม่ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลง นโยบายเรื่องนี้ก็จะอาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภาพนี้อาจจะชัดเจนขึ้น ว่าจะมีการเจรจาร่วมกันหรือไม่ ในช่วงหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งนายสุกิจกล่าว

นายสุกิจกล่าวว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นคือ ความเชื่อมั่น ซึ่งต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว ส่วนที่ 2 จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ในด้านการค้าและระดับระหว่างประเทศ รวมถึงราคาน้ำมัน ซึ่งถือว่าอ่อนไหวที่สุด และมีการสะท้อนได้งวดเร็วที่สุด โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบที่มีการแกว่งตัวอยู่นั้น เหตุการณ์นี้อาจจะทำให้เกิดภาวะราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยที่ควรจะเป็น โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีโอกาสที่จะปรับระดับขึ้นไปถึง 70-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ และเชื่อว่าคงไม่ปรับขึ้นไปเหนือกว่านี้ เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบในโลกนี้มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งสหรัฐเอง จึงเชื่อว่างแรงกดดันที่จะไปสร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจ ในเชิงของการสร้างเงินเฟ้อ หรือต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นแรงๆ ยังไม่ได้ประเมินไว้ว่าจะเกิดภาพเหล่านั้นขึ้น

Advertisement

นายสุกิจกล่าวว่า สำหรับสัญญาณที่ดีของตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1 ปี 2563 เป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยมีเสถียรภาพ และมีสัญญาณของการฟื้นตัวที่ค่อยๆ เกิดขึ้น แต่ยังไม่ได้คาดหวังว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2562 จะออกมาดี แต่คาดหวังในไตรมาส 1 นี้ โดยสัญญาณของตลาดหุ้นในเชิงปัจจัยพื้นฐาน เชื่อว่าข้อตกลงทางการค้าสหรัฐและจีน ที่กำลังจะมีการเซ็นสัญญากันในเร็วๆ นี้ จะทำให้เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในไตรมาสนี้ ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ยังมองภาพรวมของตลาดหุ้นเป็นบวก และยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองดังกล่าว รวมถึงเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะมีการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ปรับฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐาน แต่ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ข้อพิพาทของสหรัฐและอิหร่าน จะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาดหุ้น และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับดัชนีได้บ้าง โดยจะเห็นว่าระดับดัชนีล่าสุดปรับลดลงมาอยู่แถวๆ 1,560 จุด จึงสะท้อนให้เห็นว่าระดับดัชนีที่ 1,550 จุด เป็นแนวรับสำคัญที่น่าจะใช้ได้อยู่ แต่ยังต้องประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิดต่อไป

นายสุกิจกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำคือ เลือกลงทุนในหุ้นวัฏจักร สาเหตุมาจากเศรษฐกิจไทย มีสัญญาณถึงจุดต่ำสุด จึงเชื่อว่ามีโอกาสฟื้นตัวในช่วงปี 2563 สอดคล้องกับหุ้นวัฏจักร อาทิ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี, พลังงาน, อิเล็กทรอนิกส์ และธนาคาร ซึ่งมีราคาที่ยังไม่ประกอบกับกำไรสุทธิปี 2562 มีฐานต่ำ ทำให้มีโอกาสเติบโตในปี 2563 โดยตลาดหุ้นไทยในปี 2563 ต้องมองการฟื้นตัวระยะสั้นของกลุ่มหุ้นวัฏจักร นอกจากนี้ หุ้นปลอดภัยก็กำลังเป็นที่ต้องการในขณะนี้ โดยซื้อขายในมูลค่าที่สูงขึ้น ขณะที่หุ้นวัฏจักรซื้อขายที่มูลค่าระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้น และความคืบหน้าที่ดีขึ้นในการเจรจาการค้าสหรัฐและจีนจะช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับหุ้นวัฏจักร ที่แรงซื้อยังอยู่ในระดับเบาบางได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image