นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยภายหลังลงนามในความร่วมมือระหว่างกรมสรรพากร และสถาบันการเงิน 20 แห่งว่า กรมลงนามกับสถาบันการเงิน และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เพื่อสนับสนุนการจัดทำบัญชีเล่มเดียว โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมธนาคารต่างๆ จะให้ผู้กู้ยื่นเงินต้องใช้บัญชียื่นกับสรรพากรประกอบกับการขอสินเชื่อ โดยบริษัทที่ทำบัญชีเล่มเดียวอย่างถูกต้อง กรมสรรพากรจะถือว่าเป็นลูกค้าชั้นดี และจะได้รับการอำนวยความสะดวกเช่นการคืนภาษีที่รวดเร็ว ส่วนคนที่ไม่อยู่ในระบบนี้จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น
นายเอกนิติ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กรมสรรพากรออก พ.ร.บ.ยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และโทษทางอาญา ให้แก่เอสเอ็มอีที่ลงทะเบียนเพื่อจัดทำบัญชีเล่มเดียวมีผู้มาลงทะเบียนทั้งหมด 7.9 หมื่นราย และมีผู้ที่ทำบัญชีเดียวอย่างถูกต้อง 2.4 หมื่นราย ซึ่งในการลงนามดังกล่าวกรมสรรพากรส่งรายชื่อบริษัททำบัญชีเล่นเดียวกับสรรพากร 2.4 หมื่นรายไปให้สมาคมธนาคารไทย ซึ่งทั้ง 2.4 หมื่นรายจะได้รับดอกเบี้ยพิเศษในการกู้เงินกับธนาคาร
นายเอกนิติ กล่าวว่า เมื่อปี 2548 กรมสรรพากร ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเอสเอ็มอี ที่เข้ามาลงทะเบียนจัดทำบัญชีเล่มเดียว พบว่ามีผู้ประกอบการลงทะเบียน 4 แสนราย หลังจากนี้คงไม่มีการออกกฎหมายในลักษณะดังกล่าวอีกแล้ว แต่จะให้เป็นความรู้ ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีจัดทำระบบบัญชีเดียวให้มากขึ้น
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ทั้งประเทศมีเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล 7 แสนราย แต่ในจำนวนนี้ส่งงบการเงินเพียง 4.2 แสนราย ซึ่งแสดงว่ายังมีเอสเอ็มอีจำนวนมากที่ยังทำบัญชีไม่เหมาะสม หรือทำหลายบัญชี ทำให้สถาบันการเงินไม่มีข้อมูลที่เพียงพอในการวิเคราะห์เครดิต สำหรับผู้ประกอบการที่ทำบัญชีเล่มเดียวทั้ง 2.4 หมื่นรายอย่างถูกต้อง สถาบันการเงินในประเทศมีโปรแกรมพิเศษให้กับเอสเอ็มอี ให้อัตราดอกเบี้ยเพียง 5 % คงที่เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเอสเอ็มอีทั้งประเทศมีมากกว่า 3 ล้านราย คิดเป็น 99.8% ของวิสาหกิจทั้งประเทศ และมีการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 43 % ของจีดีพีของประเทศ
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า สำหรับเอสเอ็มอีที่ทำบัญชีเล่มเดียว บสย.จะสร้าง จะยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อเป็นเวลา 2 ปี และในปีที่ 3 และ 4 ค่าธรรมเนียมจะลดลงเหลือ 1 % จากปกติที่ 1.75 % ซึ่งการทำบัญชีเล่มเดียวอย่างถูกต้อง ทำให้การวิเคราะห์สินเชื่อของสถาบันการเงินทำได้รวดเร็วมากขึ้น จากที่ต้องใช้ 45 วันถึง 2 เดือน อาจเหลือเพียง 2 สัปดาห์ ถึง 4 สัปดาห์
