ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2563 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเนวินธุ์ ช่อยชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส และนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส จะเข้าหารือกับพลเอกสุกิจ ขมะสุนทร ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บอร์ด กสทช. และนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. รวมทั้งผู้บริหารบริษัทโทรคมนาคมที่จะเข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่เพื่อรองรับ 5G ทั้ง 5 ราย ได้แก่ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (ดีทีเอ็น) ในเครือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค, บริษัท ทรู มูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ทียูซี) ในเครือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) หรือแคท, บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส
โดยประเด็นในการหารือครั้งนี้เน้นในเรื่องการประมูลคลื่นความถี่เพื่อรองรับ 5G ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่ง กสทช. จะนำคลื่นความถี่ 4 ย่าน ได้แก่คลื่นความถี่ย่าน 700, 1800, 2600 เมกะเฮิรตซ์ และ 26 กิกะเฮิรตซ์ รวม 56 ใบอนุญาต มูลค่า 160,577 ล้านบาท คาดว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) จะประมูล 25 ใบอนุญาต โดยจะนำรายได้เข้ารัฐราว 54,654 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประมูลคลื่นความถี่เพื่อรองรับ 5G ดังกล่าว กสทช. ประเมินในเบื้องต้นจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในปี 2563 ราว 177,039 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.02% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) และในปี 2564 ภาคเอกชนเพิ่มขนาดการลงทุนในคลื่นความถี่สำหรับ 5G จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 332,000 ล้านบาท ในปี 2565 ผลของการประมูลคลื่นความถี่เพื่อรองรับ 5G จะเกิดมูลค่าเพิ่มอีก 476,000 ล้านบาท