ไวรัสอู่ฮั่น สะท้อนภาพลักษณ์ข้าราชการ : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
โรคไวรัสปอดอักเสบอู่ฮั่น (เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่) ได้แพร่กระจายทั่วประเทศจีน และต่างประเทศ กลายเป็นวิกฤตสาธารณสุขแห่งภูมิภาคไปแล้ว
แม้มิใช่ประเด็นทางการเมือง
แต่ในด้านความรู้สึก เป็นเหตุให้ประเทศรอบด้านขาดความเชื่อถือต่อรัฐบาลจีน
ในทางการเมืองระดับประเทศก็ต้องถือว่าประเทศจีนพ่ายแพ้ 1 คำรบ
วันนี้ ไม่ว่าการประกันความปลอดภัยแห่งชีวิต ไม่ว่าการผดุงภาพลักษณ์ของประเทศ
ประเทศจีนมีเพียง 1 ตัวเลือกเท่านั้น คือ ต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีนโดยตรง
เหตุการณ์โรค SARS ที่เกิดขึ้น ณ มณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี 2002 กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ต้นเหตุและการแพร่กระจายเป็นไปในลักษณะใกล้เคียงกัน
การทำงานของราชการอันเกี่ยวกับการแจ้งเตือนการแพร่ระบาดของโรคก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ “ก๊อบปี้” แบบฉบับ อันเป็นแบบฉบับที่ “ปกปิด” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เบื้องต้นรัฐบาลท้องถิ่นปกปิด บรรยากาศเงียบกริบ
สอดคล้องกับบรรยากาศในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เรียกว่า “chilling effect” คือประเพณี
กระทั่งเชื้อไวรัสระบาดแพร่กระจายไปทั่วโลก แม้รัฐบาลกลางก็ปิดไม่อยู่และเอาไม่อยู่
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงได้ออกมาพูดตามสคริปต์ ตามสไตล์ของผู้นำทั่วไป
1 ทศวรรษที่ผ่านมา GDP ของจีนเติบโตเกินขนาด มาตรการรัฐบาลในการควบคุมสังคมเข้มงวดกวดขันและจริงจัง
แต่ประเด็นสาธารณสุขและชีวิตความปลอดภัยของประชาชนมีความก้าวหน้าอย่างไร
เป็นคำถามที่สังคมต้องการคำตอบ
ต้องยอมรับว่า การควบคุมป้องกันไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่อู่ฮั่นนั้น ล้มเหลวสิ้นเชิง มีผู้ป่วยใหม่และเสียชีวิตนับวันเพิ่มขึ้น เชื้อไวรัสได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมณฑล ยกว้นทิเบต
อีกทั้งระบาดไปทั่วทุกมุมโลก เหตุการณ์ความรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า SARS
หนังสือพิมพ์อู่ฮั่นได้ลงบทความสรุปพอสังเขปว่า ท่ามกลางภาวะไวรัสปอดอักเสบรุนแรงขึ้นตามลำดับ ผู้นำท้องถิ่นความรู้ละอ่อน ไร้ความสามารถในการแก้ปัญหา
รัฐบาลกลางควรต้องส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาระงับเหตุ
เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้สื่อข่าวจีนหายใจรูจมูกเดียวกันกับพรรค ไม่ว่าการวิพากษ์เกี่ยวกับราษฎร ไม่ว่าการวิจารณ์เกี่ยวกับปัจเจกบุคคลจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน
หากมิฉะนั้น ก็จะต้องประสบพบพานกับปัญหาอันเลวร้าย
แต่วันนี้ ผู้สื่อข่าวยอมเอาอนาคตเป็นเดิมพัน ทำการบริภาษผู้บริหารสูงสุดของมณฑล
ย่อมเป็นการแสดงว่าเหตุการณ์ไวรัสอู่ฮั่นรุนแรงขนาดไหน และทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
และแล้วปัญหาก็เกิดขึ้น โดยผู้สื่อข่าวที่เขียนบทวิจารณ์ต้องลงข้อความขอขมารัฐบาลท้องถิ่นอู่ฮั่น ความว่า “เป็นบทวิจารณ์ที่ผิดพลาด” นี่คือ “แบบฉบับ”
ของจีน กล่าวคือ
“แก้ปัญหามิได้ กลับคิดบัญชีกับคนที่ยกประเด็นปัญหาขึ้นมาให้แก้”
ดูประหนึ่งว่า ในระบอบสังคมนิยมข้าราชการคือนายของประชาชน ซึ่งตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย อาทิ สหรัฐ ถือกันว่า ผู้ชำระภาษีคือนายของผู้บริหาร
อันเป็นที่ประจักษ์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ รัฐบาลท้องถิ่นแจ้งให้ประชาชนออกมาช่วยกันทำการต่อต้าน ควบคุม และป้องกัน ในขณะที่ข้าราชการหัวหดเหมือนเต่า หลบเข้ากระดอง
นอกจากไม่ทำงาน ยังยินดีปรีดากับการฉลองตรุษจีน โดยปล่อยให้ชาวบ้านทำงานแทน
หากว่าตามหลักการ เหตุการณ์วิกฤตเช่นนี้ ข้าราชการต้องออกมาทำงานอยู่แนวหน้า
จึงไม่แปลกที่มีชาวบ้านนินทาว่า ข้าราชการมณฑลหูเป่ย์คงดื่มเหมาไถมากเกินไป ยังไม่หายเมา จึงต้องทำการ “กักกัน” ตนเอง
การที่จำกัดเสรีภาพสื่อในการเสนอข่าวหรือวิจารณ์ข่าวนั้น มิได้ช่วยให้สถานการณ์ไวรัสอู่ฮั่นดีขึ้น รังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวลง
กรณีไม่ต่างไปจากการปิดข่าว SARS ในอดีต
อู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย์ เกิดเหตุการณ์ไวรัสปอดอักเสบตั้งแต่ปลายปี 2019
ก็เพราะเริ่มต้นจากการ “ปิดข่าว” ต่อมา “ปิดเมือง” “ปิดมณฑล” และสร้างโรงพยาบาลชื่อ “อู่ฮั่นเสี่ยวทังซาน” ในปริโยสาน เพื่อทำการรักษาผู้ป่วยไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่
อย่างไรก็ตาม วัวหายล้อมคอก แม้ว่าสายไป แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช