หุ้นไทยฟื้นเล็กๆ บวก 9.38 จุด ได้แรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศ-มาตรการภาครัฐ

วันที่ 24 มีนาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะหุ้นวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ1,024.46 จุด ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,039.30 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,033.84 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 9.38 จุดหรือ 0.92% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,067.51 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,024.38 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่64,144.80 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 1,796.16 ล้านบาท นักลงทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 97.51 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 1,943.26 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซื้อสุทธิ244.61 ล้านบาท โดยดัชนีลบมากสุด 0.08 จุด บวกมากสุด 43.05 จุด

โดยนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ปิดในแดนบวก โดยดัชนีดีดตัวขึ้น (รีบาวด์) ซึ่งในระหว่างวันดัชนีฟื้นตัวได้ดี ก่อนจะย่อตัวลงในช่วงท้ายก่อนปิดตลาด แต่ยังสามารถยืนในแดนบวกได้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดต่างประเทศ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศ ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาประกาศนโยบายกระตุ้นทางการเงินแบบสุดขั้วซึ่งชุดใหญ่กว่าครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐเมื่อปี 2551 โดยเฟดแถลงว่าจะเข้าซื้อตราสารทางการเงินหลายรูปแบบ ทั้งพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน กองทุนตลาดเงิน ตั๋วเงิน และเป็นครั้งแรกที่เฟดประกาศซื้อหุ้นกู้เอกชนที่มีเครดิตดีอีด้วย โดยไม่มีการจำกัดวงเงินที่จะใช้ในมาตรการอัดฉีดใหม่นี้ด้วย ส่วนปัจจัยในประเทศ มีแรงเก็งในมาตรการของภาครัฐที่จะออกมา ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นมาตรการเยียวยาผู้ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 ซึ่งน่าจะเป็นกลไกเล็กๆ ที่สามารถช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยได้บ้าง

นายวิจิตรกล่าวว่า ในส่วนของการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน ที่จะเริ่มวันที่ 26 มีนาคมนี้ จริงๆ ไม่ได้เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งมักจะนำออกมาใช้ในช่วงที่มีปัญหาความไม่สงบทางการเมือง แต่ขณะนี้นำมาใช้ในช่วงการเกิดโรคระบาดเพื่อให้การควบคุมโควิด-19 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงไม่ได้มองว่ามาตรการดังกล่าวจะเป็นลบมากจนเกินไป โดยท้ายที่สุดแม้ภาพรมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากต่างประเทศ และมาตรการเสริมที่ภาครัฐออกมาจะเป็นยารักษาในช่วงกลางและยาว ที่คงเล็งเห็นแล้วว่า โรคระบาดน่าจะส่งผลกระทบรุนแรงและยาวนานกว่าที่คาดไว้ จึงต้องจ่ายยาออกมาให้แรงมากกว่าเดิม แต่บ่อเกิดของปัญหาทั้งหมดมาจากโควิด-19 ซึ่งสัญญาณในขณะนี้รุนแรงขึ้นและแพร่ระบาดเร็วมากขึ้น ทำให้ปัญหาหลักยังไม่จบ แต่มีข้อดีในส่วนของมาตรการที่ภาครัฐออกมาช่วยผ่อนคลายความกังวลบ้าง แต่ยังเชื่อว่าตลาดคงไม่ได้ปรับระดับขึ้นได้ในเร็วๆ นี้

ดัชนีวิ่งขึ้นไปได้บ้าง แต่โซนนี้ยังเป็นระดับต่ำของดัชนี เพราะโควิด-19 ยังไม่จบ ทำให้ตลาดน่าจะยังปรับระดับขึ้นได้ไม่เร็วเท่าที่ควร โดยหากตลาดยังไม่ถูกกระแทกแรงๆ จนปรับลงต่ำกว่า 1,000 จุด คงยังมีนักลงทุนที่เลือกหาหุ้นลงทุนในระยะสั้นอยู่ แม้จะลงไปในระดับ 900 จุด ก็มีนักลงทุนทยอยสะสมหุ้นอยู่เช่นกัน โดยหากตลาดจะสามารถปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง จะต้องหาจุดสูงสุดของการระบาดในประเทศ และต่างประเทศให้ได้ แต่ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะการระบาดในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งเป็นระยะต่อไปที่น่าจะพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นตอเนื่อง ระดับที่ดัชนีจะขึ้นได้ในระยะสั้น ก็คงไม่เกิน 1,000-1,200 จุด ซึ่งภาพตลาดจากนี้น่าจะเหวี่ยงผันผวนต่อเนื่อง แต่ไม่น่าจะเหวี่ยงได้ไกลกว่าที่ผ่านมานายวิจิตรกล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image