‘โกลเบล็ก’ มองตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกหนุนฟื้นตัว แต่ยังต้องจับตาโควิด-19 หลังคลายล็อกดาวน์เฟส 2

‘โกลเบล็ก’ มองตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกหนุนฟื้นตัว แต่ยังต้องจับตาโควิด-19 หลังคลายล็อกดาวน์เฟส 2

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยบล.โกลเบล็ก ประเมินสถานการณ์ทิศทางการลงทุนในขณะนี้ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น หลังจากหลายประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ได้ประกาศปรับลดการผลิตน้ำมันลง การผลิตในสหรัฐลดลง และคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นหลังหลายประเทศทั่วโลกได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเห็นได้จากรายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น จนส่งผลให้มีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 2 ขณะเดียวกันที่สหรัฐก็มีข่าวคืบหน้าเรื่องผลการทดลองฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จึงสนับสนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้น โดยประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,270 -1,320 จุด แม้จะมีแรงสนับสนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เฟส 2 และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องก็ตาม แต่นักลงทุนยังคงจับตาจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ และสถานการณ์หลังมีการคลายล็อกดาวน์เฟส 2 อย่างใกล้ชิดต่อไป

“ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ การเปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่อาจเข้ามาเป็นตัวแปรหลักในการลงทุน อาทิ ญี่ปุ่นเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดสั่งซื้อเครื่องจักรของเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ขณะที่สหภาพยุโรป (อียู) ได้เตรียมเปิดเผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคมนี้ รวมถึงสหรัฐที่จะเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างของเดือนเมษายน และเปิดเผยสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ รวมถึงการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ธนาคารกลางจีนกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนในไทยจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 3/2563 ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่” นางสาววิลาสินีกล่าว

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ที่แนะนำในการลงทุนคือ แนะจับตา 5 หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี ได้แก่ WICE, TASCO, CPF, HMPRO, DOHOME รวมถุงหุ้นที่จะเข้าคำนวณในดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก (เอ็มเอสซีไอ) ได้แก่ AWC, BAM, KTC ซึ่งจะมีผลในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ ในส่วนของทิศทางราคาทองคำ มีประเมินว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อในสัปดาห์นี้ มีแนวต้านที่บริเวณ 1,780-1,800 เหรียญสหรัฐต่อนออนซ์ หรือประมาณ 27,030-27,360 บาทต่อบาททองคำ ถือเป็นแนวต้านสำคัญ และมีแนวรับที่ 1,730 -1,740 เหรียญสหรัฐต่อนออนซ์ หรือ 26,190-26,360 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำยังได้รับแรงสนับสนุนจากการเข้าซื้อของกองทุนซื้อขายทองคำขนาดใหญ่ของโลก (เอสพีดีอาร์) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ถือสถานะจำนวนทองคำที่ 1,114 ตัน ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี โดยตั้งแต่ต้นปีกองทุนดังกล่าวเข้าซื้อทองคำแล้วกว่า 218.5 ตัน อีกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้ จะทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำเพื่อลดความเสี่ยงมากขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image