‘กรรมการ กสทช.’ แจงเหตุงดออกเสียง ปมเงินเยียวยาคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ ให้ อสมท

‘กรรมการ กสทช.’ แจงเหตุงดออกเสียง ปมเงินเยียวยาคลื่น 2600 เมกะเฮิรตซ์ ให้ อสมท

นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุม กสทช. มีการพิจารณาวงเงินเยียวยาคืนคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ ให้กับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งยังไม่มีข้อยุติ เนื่องจาก พ.อ.นที สุกลรัตน์ รองประธาน กสทช. ขอถอนตัวออกจากที่ประชุม ขณะที่ นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ไม่ลงมติ ขณะที่กรรมการ กสทช. ที่เหลือมีการลงมติเป็นสองข้าง ว่า ตามระเบียบวาระที่สำนักงาน กสทช. เสนอต่อที่ประชุม กสทช. นั้น มีการตั้งประเด็นให้พิจารณาเป็น 2 ประเด็น โดยประเด็นแรกคือการเลือกแนวทางกำหนดอายุการถือครองคลื่นความถี่ของ อสมท ซึ่งเสนอเป็น 3 แนวทางของระยะเวลาที่แตกต่างกัน ระหว่าง 3 ปี, 6 ปี 5 เดือน และ 8 ปี 6 เดือน โดยประเด็นระยะเวลานี้ส่งผลต่อจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายเยียวยาเป็นจำนวน 1,010.26 ล้านบาท 3,235.83 ล้านบาท และ 4,275.34 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนประเด็นที่สองเป็นการพิจารณากำหนดสัดส่วนของจำนวนเงินเยียวยาว่าจะจ่ายแก่ อสมท และบริษัท เพลย์เวิร์ค จำกัด ฝ่ายละเท่าใด

“การตั้งประเด็นเช่นนี้อยู่บนฐานที่ว่าจะต้องมีการเยียวยาให้แก่กรณีนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่ให้บอร์ดเลือกจำนวนเงินและแบ่งก้อนเงิน ซึ่งตลอดเส้นทางหลายปีที่มีการพิจารณาเรื่องสิทธิการถือครองคลื่นความถี่ย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ของ อสมท ผมตั้งประเด็นมาโดยตลอดว่า ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ว่า อสมท เป็นผู้ได้รับอนุญาตและมีสิทธิในคลื่นย่านดังกล่าวตามกฎหมายหรือไม่ และไม่ชัดด้วยว่าสัญญาที่ อสมท ทำกับเพลย์เวิร์ค ให้ใช้คลื่นความถี่ระบบเอ็มเอ็มดีเอส เพื่อให้บริการโทรทัศน์บนเทคโนโลยีแบบบรอดแบนด์ไร้สาย (บีดับเบิลยูเอ) ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยังเคยมีการชี้แล้วว่ากรณีนี้ไม่มีเหตุแห่งความจำเป็นในการถือครองคลื่น และเคยมีการตรวจสอบไม่พบการใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวอีกด้วย ส่วนเรื่องที่มักอ้างกันว่า กสทช. เคยอนุมัติเลขหมายรหัสโครงข่าย หรือเอ็มเอ็นซี ให้แก่การประกอบกิจการของ อสมท กับเพลย์เวิร์ค ผมก็เคยลงมติแย้งไว้แล้วว่าเป็นการทำผิดประกาศของ กสทช. เอง ดังนั้น ในการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่วาระ ผมจึงแจ้งความเห็นชัดเจนว่า ก่อนอื่นจะต้องพิจารณาก่อนว่า อสมท มีสิทธิรับการเยียวยาหรือไม่ แต่ที่ประชุมส่วนใหญ่เลือกจะโหวตตามประเด็นที่สำนักงานตั้งไว้ ผมจึงขอไม่ร่วมโหวตในประเด็นเหล่านั้น และแจ้งขอสงวนความเห็น” นายประวิทย์ กล่าว

นายประวิทย์ กล่าวว่า ยืนยันว่า การสงวนความเห็นไม่ใช่การไม่ออกความเห็นหรืองดออกเสียง แต่คือการขอสงวนสิทธิที่จะมีความเห็นแตกต่างหรือสวนทางกับที่ประชุม ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ที่แข็งขันและยากลำบากมากกว่าการเห็นคล้อยตามไปกับสิ่งที่ สำนักงาน กสทช. ชงให้ หรือตามเสียงส่วนใหญ่ของที่ประชุม นอกจากนี้ ความเห็นที่แตกต่างหลากหลายถือว่าเป็นคุณภาพและคุณค่าสำคัญสำหรับการทำงานในลักษณะองค์คณะแบบ กสทช. เพราะจะเป็นที่มาของการใช้ดุลพินิจด้วยความรอบคอบ รอบด้าน มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันเอง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ในที่ประชุม กสทช. พยายามอธิบายว่า การให้เงินชดเชย อสมท ไม่น่าจะต้องเข้มงวดตรวจสอบกันมากมาย เพราะเป็นการชดเชยให้หน่วยงานรัฐด้วยกันเอง รัฐไม่เสียหาย แต่ในที่ประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 ผู้บริหารระดับสูงของ อสมท ที่เข้าชี้แจง กลับเสนอให้ กสทช. กำหนดแบ่งเงินให้เอกชนครึ่งหนึ่ง โดยไม่ต้องให้บอร์ดของ อสมท พิจารณาเอง ซึ่งตรงกับประเด็นที่สองที่สำนักงาน กสทช. เสนอโหวต ทั้งที่ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กสทช. เอง เคยให้ความเห็นไว้แล้วว่า กสทช. ไม่จำเป็นที่ต้องกำหนดเรื่องสัดส่วนการเยียวยาแต่อย่างใด นอกจากนั้น ในการพิจารณาคราวเดียวกัน คณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กสทช. ยังมีมติในเรื่องระยะเวลาการถือครองคลื่นของ อสมท ว่า มีสิทธิสูงสุดไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่แผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ พ.ศ.2555 ใช้บังคับ

Advertisement

“ถ้า อสมท ถือครองคลื่นความถี่ถูกต้องตามกฎหมาย และพิสูจน์ได้ว่าการมีใช้ประโยชน์ในคลื่นย่าน 2600 เมกะเฮิรตซ์ จริง ผมก็ยอมรับได้ที่จะเยียวยา อสมท ในฐานะที่เป็นผู้ครองคลื่นและได้รับความเสียหาย แต่การที่จะให้ไปถึงเอกชนที่เป็นคู่สัญญาคงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของ กสทช. แต่เป็นเรื่องที่คู่สัญญาต้องไปตกลงกันเอง การเยียวยาที่คิดเผื่อไปถึงคู่สัญญาของ อสมท นั้น นอกจากจะส่งผลต่อจำนวนเม็ดเงินที่ควรจะได้นำเข้ารัฐสำหรับทำประโยชน์แก่สังคม ยังเป็นเรื่องการทำหน้าที่เกินขอบเขตกฎหมายของบางฝ่าย และทำหน้าที่พร่องของบางฝ่ายด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะต้องมีการตรวจสอบกันอย่างเข้มงวดจริงจังต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่า ผลลัพธ์การใช้ดุลพินิจของ กสทช. ในเรื่องนี้กระทบต่อผลประโยชน์ของรัฐและประโยชน์สาธารณะโดยตรง ซึ่งในฐานะกรรมการคนหนึ่งจะไม่ยอมตกอยู่ภายใต้สภาพบังคับใดๆ หรือการชี้นำของใคร” นายประวิทย์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image