พณ.ปลื้มเอฟทีเอช่วยดันส่งออกมังคุดไทย สวนวิกฤตโควิด 5 เดือนขยายตัว 16%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามการส่งออกมังคุดหรือราชินีแห่งผลไม้ไทย ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 พบว่าขยายตัวร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปี 2562 และมีมูลค่าส่งออกถึง 290 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ยังอยู่ในช่วงสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ก็ตาม โดยมีจีน อาเซียน และฮ่องกง เป็นตลาดส่งออกสำคัญ มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึงร้อยละ 99 ของการส่งออกทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออกไปจีนมูลค่า 213 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 19 ส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4 มีเวียดนามเป็นตลาดส่งออกหลักในอาเซียน ส่วนแบ่งตลาด 94% ของการส่งออกไปอาเซียน ส่งออกไปฮ่องกง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 171 ซึ่งไทยมีความตกลงการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ กับทั้ง 3 ประเทศ

นางอรมน กล่าวเติมว่า ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกมังคุดไปตลาดโลกเพิ่มขึ้น ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทย 14 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา อินเดีย ชิลี เปรู และฮ่องกง ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้ามังคุดจากไทยแล้ว เหลือเพียง 4 ประเทศ ที่ยังคงเก็บภาษีนำเข้า ได้แก่ เกาหลีใต้ (อัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 24) กัมพูชา มาเลเซีย และลาว (อัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 5) และเมื่อเปรียบเทียบสถิติมูลค่าการส่งออกมังคุดไทยสู่ตลาดโลกในปี 2562 กับปี 2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ความตกลงเอฟทีเอฉบับแรกของไทยกับอาเซียนจะมีผลบังคับใช้ พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 53,468 โดยเฉพาะจีนขยายตัวร้อยละ 125,504 เมื่อเทียบกับปี 2545 อาเซียนขยายตัวร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับปี 2535 เป็นต้น สอดคล้องกับสถิติในปี 2562 ที่มังคุดเป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ประกอบการไทยขอใช้สิทธิประโยชน์จากเอฟทีเอในการส่งออกเป็นอันดับต้น โดยเฉพาะภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และส่งผลให้ไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกมังคุดของโลกในปีเดียวกัน

“ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันต่อโรค ประกอบกับข้อได้เปรียบของผลไม้ไทยที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ จึงถือเป็นโอกาสทองที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจะขยายการส่งออกผลไม้ต่างๆ ของไทยไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการรักษามาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล พัฒนาคุณภาพการผลิตตามความต้องการของตลาดที่ปัจจุบันนิยมผลไม้ปลอดสารพิษหรือเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งสร้างเอกลักษณ์ด้วยการพัฒนาสร้างตราสินค้า หรือแบรนด์ของผลไม้เป็นของตนเอง เพื่อสร้างความแตกต่างจากผลไม้ของประเทศอื่นเพื่อผลักดันให้ผลไม้ไทยครองใจผู้บริโภค” นางอรมน กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image