ดีแทค แนะเดินหน้าสร้างประเทศไทยใหม่ยั่งยืนด้วย 5G นโยบายรัฐต้องชัดเจน คลื่น 3500 จำเป็นต้องคลื่นหลัก

มาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร ดีแทค

นายมาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร และนายอธิป กีรติพิชญ์ ผู้เชี่ยวชาญและวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมโทรคมนาคม บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงภาวะเศรษฐกิจไทยหลังเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก โดยผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของดีแทคมองว่า 5G จะช่วยให้การเดินหน้าสร้างประเทศไทยใหม่ให้ยั่งยืนได้ โดยคลื่น 3500 MHz ต้องกำหนดเป็นคลื่นหลัก 5G เพื่อพัฒนาเป็นทิศทางร่วมกันกับทั้งโลก

“ประเทศไทยสามารถพลิกฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย 5G ที่ยั่งยืนซึ่งต้องใช้คลื่นความถี่ 3500 MHz เป็นแบนด์หลัก ซึ่งทั่วโลกใช้กันมากกว่า 70%” นายอธิปกล่าวและว่า ผลกระทบจากโควิด-19 ต่อระบบเศรษฐกิจตามรายงานจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ระบุว่าได้ปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีในปี 2563 จะติดลบ 5-6% โดยมีค่ากลางติดลบ 5.5% จากเดิมขยายตัวที่ 1.5-2% แต่ต้องอยู่ภายใต้การประเมินว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยไม่ยืดเยื้อเกินไตรมาส 2 หรือไม่กลับมาระบาดรอบ 2

ขณะที่ศูนย์วิจัยกรุงศรีได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะหดตัว 10.3% จากเดิมคาดว่าจะติดลบ 5% โดยมองว่าเศรษฐกิจในภาพรวมมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและยาวนานกว่าที่คาด และผลกระทบทางลบที่ส่งต่อไปยังภาคส่วนเศรษฐกิจอื่นๆ สำหรับศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้ประเมินว่าจำนวนผู้ว่างงานในไทยจะเพิ่มขึ้นสูงประมาณ 3-5 ล้านคน ถือเป็นระดับที่สูงกว่าทุกวิกฤติการณ์ในประวัติศาสตร์ของไทย สาเหตุจากผลกระทบได้เกิดในวงกว้างและมีการหยุดชะงักฉับพลัน (sudden stop) ของหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายส่วน ส่งผลให้มีสถานประกอบการมากกว่า 4,000 แห่งปิดกิจการบางส่วนหรือขอหยุดกิจการทั้งหมด

Advertisement

นายอธิปกล่าวว่า ถึงแม้ว่าการระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมากต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศไทย แต่วิกฤตครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการทบทวนกลไกการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

เทคโนโลยีออนไลน์ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยในสถานการณ์ปกติเชื่อว่าไม่น่าจะใช้เวลาอันสั้นเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์ การทำงานจากบ้าน หรือ Work from home และการติดต่อสื่อสารรูปแบบต่างๆ ผ่านแอพพลิเคชัน เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยคาดว่าจะเติบโตชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า จากเดิมประเมินไว้ภายใน 3 ปี ซึ่งหมายความว่าทรัพยากรมนุษย์จะต้องเปลี่ยนจากแบบเดิมในอุตสาหกรรมที่ผ่านมาที่ใช้แรงงาน ไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ต้องใช้ระบบดิจิทัลเพิ่มทักษะในตลาดแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตของเศรษฐกิจแบบไฮบริด (Hybrid economy) ซึ่งหมายถึงประเทศไทยจะต้องมีการเชื่อมต่อจากจุดตัดของระบบเศรษฐกิจแบบเดิมสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะภาคส่วนสำคัญ ๆ เช่น โรงงานผลิตการส่งออก การรักษาและสุขภาพ และการเดินทาง และขนส่ง ต้องยกระดับการเปลี่ยนผ่านด้วยการนำการเชื่อมต่อของเทคโนโลยีดิจิทัลไปสู่การรองรับพฤติกรรมใหม่ของลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย

และเพื่อให้เศรษฐกิจในอนาคตมีความยืดหยุ่นและแข่งขันได้มากขึ้น ทุกภาคส่วนจะต้องเชื่อมต่อออนไลน์ ดังนั้นเศรษฐกิจแบบไฮบริด (Hybrid economy) จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับประเทศไทยให้ซ่อมและสร้างเพื่อก้าวไปในอนาคต แต่ทั้งหมดจะต้องมั่นใจได้ว่าประเทศต้องมีรากฐานที่มั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ระบบนิเวศดิจิทัล ทรัพยากรมนุษย์ที่มีทักษะใหม่ด้านดิจิทัล บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความเท่าเทียมกันทางสังคม

Advertisement

ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น การเชื่อมต่อโทรคมนาคม เทคโนโลยี 5G ที่ก้าวไปพร้อมกับโลก อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ทั้งหมดนี้จะต้องพัฒนาควบคู่ไปกับโครงสร้างพื้นฐานทั่วไปแบบเดิม เช่น การขนส่งทางราง ถนน ทางอากาศ และทางน้ำ

มองสิงคโปร์พัฒนาสู่ 5G

• IMDA (หน่วยงานกำกับดูแลของสิงคโปร์) ตั้งข้อสังเกตว่าเครือข่าย 5G NSA หรือ 5G Non-standalone จะถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย 4G ที่มีอยู่และจะส่งผลให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมในบริการ eMBB หรือแค่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตบนมือถือเท่านั้น แต่การที่จะนำศักยภาพของ 5G มาใช้อย่างเต็มที่ให้แตกต่างจาก 4G ผู้ให้บริการจำเป็นต้องปรับใช้เครือข่าย SA หรือ 5G standalone ตั้งแต่เริ่มต้นให้บริการ นอกจากนี้ยังช่วยลดลงทุนและระยะเวลาในการอัปเกรดเครือข่ายสู่ผู้ใช้งานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

•สิงคโปร์มีความเห็นพ้องกับอุตสาหกรรมทั่วโลกว่ามีเพียงเครือข่าย 5G SA เท่านั้นที่สามารถมอบความสามารถ 5G ที่สมบูรณ์แบบการใช้เทคโนโลยี 5G ที่มีความปลอดภัยและแม่นยำสูง และความหน่วงที่ต่ำ อย่างแตกต่างจากเครือข่าย 5G NSA ซึ่งสร้างขึ้นบนเครือข่าย 4G ที่มีอยู่และสามารถให้ความเร็วที่เร็วขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ระบบนิเวศอุปกรณ์สำหรับเครือข่าย SA ในย่านความถี่ 3500 MHz ได้รับการพัฒนามากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเครือข่าย 5G ของสิงคโปร์มีความพร้อมในอนาคตและสามารถส่งมอบความสามารถ 5G เต็มรูปแบบ IMDA ได้ใช้แนวทางมีการติดตั้งเครือข่าย 5G SA ในย่านความถี่ 3500 MHz ตั้งแต่เริ่มต้น

มาเลเซียมุ่งสู่ 5G ด้วยความพร้อม 3500 MHz

National 5G Task Force หรือ คณะกรรมการที่กำกับดูแลรับผิดชอบ 5G ของมาเลเซีย ได้ระบุการใช้งานคลื่นความถี่ 3500MHz เป็นคลื่นหลักสำหรับ 5G และคลื่น 700 MHz

ในขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการ 5G แต่มีแผนการใช้คลื่น 3500MHz ในการให้บริการในช่วงปี 2021

คณะกรรมการที่กำกับดูแลรับผิดชอบ 5G ของมาเลเซีย มีแผนจะนำ 5G พัฒนาด้าน เมือง-การรักษาสุขภาพ-การศึกษา หรือ smart city, smart health และ smart education

คลื่น 3500 MHz ต้องกำหนดเป็นคลื่นหลัก 5G

•หน่วยงานกำกับดูแลโทรคมนาคมและภาครัฐควรใช้หลักการผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีใดก็ได้หรือ neutral technology principle มาเป็นนโยบายการพัฒนาคลื่นความถี่ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในเวทีเทคโนโลยีอย่างไม่สะดุด สิ่งนี้จะนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคในที่สุดทำให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้นและราคาไม่แพง

• บริษัทโทรคมนาคมทั่วโลกมากกว่า 70% ใช้คลื่น 3500 MHz เป็นย่านความถี่หลักสำหรับ 5G รวมถึงสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศหลักในการให้บริการ และพัฒนาสู่ 5G จึงทำให้เกิดระบบนิเวศของ 5G คลื่น 3500 MHz ที่มากกว่าจากทั่วโลกเลือกใช้งาน 3500 MHz สำหรับคลื่น 2600 MHz นั้นมีเพียงผู้ให้บริการไม่กี่ประเทศในโลก เช่น ไชน่าโมบายล์ (China Mobile) บริษัท โทรคมนาคมของจีนใช้งาน 5G คลื่น 2600 MHz เป็นย่านความถี่หลัก ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์และระบบฮาร์ดแวร์ซอฟแวร์รวมถึง use case ของ 5G จะถูกจำกัดกรอบให้แคบลงจากผู้ให้บริการไม่กี่ราย

•คลื่น 3500 MHz สำหรับ 5G ที่นำมาใช้กับหลายประเทศทั่วโลกยังทำให้เกิดข้อดีของการประหยัด หรือ economy of scale ทั้งอุปกรณ์ผู้ให้บริการ และอุปกรณ์ของผู้ใช้งานทั้ง 5G ในอุตสาหกรรม ที่เป็น use case ต่างๆ และสมาร์ทโฟนสำหรับการใช้งานของผู้บริโภคทั่วไปที่จะมีราคาต่อหน่วยและความหลากหลายที่มากกว่า

•ความล่าช้าของการจัดสรรคลื่นความถี่ 3500 MHz จะมีค่าเสียโอกาสอย่างมากเช่นเดียวกับที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญในการจัดสรรคลื่น 2100 MHz สำหรับ 3G เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ 3G ในประเทศไทยช้ากว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกราว 10 ปี

•หน่วยงานกำกับดูแลควรมีแผนงานสำหรับการจัดสรรความถี่ที่แน่นอนโดยเฉพาะการระบุช่วงความถี่ที่ชัดเจนพร้อมการจัดสรรกรอบเวลา ที่สำคัญผู้กำหนดนโยบายต้องทำตามแผนงานอย่างชัดเจนมิฉะนั้นอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายและการพัฒนาเศรษฐกิจล่าช้า

ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญของดีแทค ย้ำว่า เพื่อให้เศรษฐกิจไทยมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และในขณะที่ประเทศไทยกำลังต้องการซ่อมและสร้างระบบพื้นฐานเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต ประเทศไทยจะต้องคำนึงถึงความต้องการคลื่นความถี่เพิ่มเติมสำหรับ 5G ที่ยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความคุ้มค่าและทางเลือกที่หลากหลาย ดังนั้น คลื่น 3500 MHz ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นย่านความถี่หลักสำหรับ 5G ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประสานกันทั่วโลก จะทำให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก economy of scale ที่ประหยัดการลงทุนและจากการนำศักยภาพของ 5G มาใช้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ เพื่อปลดล็อกศักยภาพของ 5G ผู้ให้บริการแต่ละรายควรได้รับอนุญาตในการใช้งานคลื่นความถี่ระหว่าง 80-100 MHz ของย่านความถี่ 3500 MHz ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมต่อการให้บริการ 5G

อยากให้รัฐชัดเจน Timeline

นายลาร์ส มาร์คุส แอดอุรทุสซัน ระบุว่า หากภาครัฐวางโรดแมปที่ชัดเจนถึงไทม์ไลน์การจัดสรรคลื่น 3500 เมกะเฮิร์ตซ์ว่าจะเป็นเมื่อไร จำนวนเท่าไร จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อประเทศไทย ทั้งอุตสาหกรรมและประชาชน แต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อไร คงตอบไม่ได้ เพียงแต่คาดหวังว่าจะสามารถนำคลื่นดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีที่หมดสัญญาสัมปทานในเดือนกันยายน 2564 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการโทรคมนาคมรับฟังปัญหา และอยู่ระหว่างการแก้ปัญหาสัญญาณคลื่นรบกวนกันระหว่างคลื่น 3500 ที่จะนำมาใช้ด้านโทรคมนาคมกับสัญญานเดิมที่ใช้สำหรับคลื่นทีวีดาวเทียมในระบบ C band ที่อยู่ในคลื่นความถี่ใกล้เคียงกันระหว่าง 3400-4200 และ 3700-4200 เมกะเฮิร์ตซ์

นายอธิป กล่าวเสริมถึงทางแก้ของปัญหาการกวนคลื่นสัญญาณว่า ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ใช้คลื่น C band เช่นเดียวกับไทย ดังนั้นคีย์เวิร์ดสำคัญของการแก้ปัญหานี้ คือนโยบายของรัฐบาล เช่นประเทศจีน รัฐบาลวางนโยบายชัดเจนที่จะทดสอบคลื่น 3500 เมกะเฮิร์ตซ์ มีนโยบายออกมาว่าจะไม่คุ้มครองผู้ที่ใช้สัญญาณดาวเทียม หากเกิดปัญหาคลื่นกวนกันเกิดขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image