“เริ่มจุดไฟ” ไม่ใช่คำปลุกระดม แต่เป็นการเตือนให้ผู้ชุมนุมทางการเมือง “จงระวัง” ให้รู้เท่าทัน “ความอสัตย์”
แค่พื้นที่ชุมนุมก็สามารถกลายเป็น “ชนวน”
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ตั้งแต่ 2477 มาที่เคยมีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว บัดนี้มืดสนิทและถูก “ปิดกั้น”
จะทอดน่องย่ำไปตามท้องสนามหลวงเหมือนแต่ก่อนก็ถูกคุกคามข่มขู่ด้วย “กฎหมาย”
ปกครองคือควบคุม ปกป้องคือจำกัด กักขัง
ถ้าบอกว่าไม่มี คือมี ไม่ทำ คือเตรียมพร้อมรับมือเต็มอัตรา
จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อคนเรา “เสียสัตย์” จะสูญเสียทุกสิ่ง !
“เสียสัตย์เพื่อชาติ” เมื่อพฤษภา’35 จึงนำ “ความหายนะ” มาสู่จิ้งจอกเฒ่า
“คสช.” เป็นพัฒนาการของนักรัฐประหารที่ใช้กลอุบายอย่างพลิกแพลงทุกรูปแบบเพื่อบรรลุ “เป้าหมายทางการเมือง”
ภารกิจของ “คสช.” จึงไม่ใช่ภารกิจของ “ทหารอาชีพ” ที่ทำเพื่อชาติ แต่เป็นปฏิบัติการของ “ทหารการเมือง” เพื่อพวกพ้องเครือข่ายทั้งสิ้น
“สัญญา” จึงย่อมไม่เป็นไปตามสัญญา
“ขอเวลาอีกไม่นาน” คือการซ่อนเงื่อน !
เมื่อยึดครองแล้วก็ต้องสร้างกติกาและกลไกเกื้อกูลสืบทอดอำนาจให้ต่อเนื่อง
“ผู้ต่อต้าน” ทุกฝ่ายทุกเพศวัยไม่ว่านักเรียน นิสิต นักศึกษาปัญญาชนหรือกระทั่งนักการเมืองที่เห็นต่าง คือ “ภัยคุกคาม” ต่อความสงบเรียบร้อยเป็นภัยความมั่นคงของผู้มีอำนาจ
จะต้องขจัด ใช้กลอุบายป้ายสี งัดกลยุทธ์ทำลาย แบ่งแยก คุกคาม แล้วจับกุม
การออกหนังสือเชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยในพื้นที่ประชุมหารือเพื่อหาทางสกัดกั้นการเข้าร่วมชุมนุมที่ “ธรรมศาสตร์-ท่าพระจันทร์” ในวันที่ 19 กันยายน โดยที่กล่าวหาลับหลังว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมบางกลุ่มมีพฤติกรรมล้มล้างสถาบันและเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นคือการจุดไฟ
มีสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า !
ฝ่ายผู้ชุมนุมเรียกร้อง “การเปลี่ยนแปลงโดยสันติ” แต่รัฐบาลประยุทธ์อดีต “หัวหน้า คสช.”เตรียมกำลังพร้อมเต็มอัตราศึก
ประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่า ชนชั้นสูงจะต้องระวังชนชั้นสูงด้วยกัน
นักเรียนนักศึกษาปัญญาชนผู้มีแต่เพียง “มือเปล่า” ไม่มี “กองทัพ” สนับสนุน ไม่เคยก่อการล้มล้างการปกครองหรือล้มล้างสถาบันใดได้สำเร็จ
การชุมนุมทางการเมืองของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางผู้รักสันตินั้นทำได้ก็แต่ร้องๆๆๆ โดยปราศจากอาวุธ
ทำไมถึงต้องเตรียมการราวกับจะทำสงคราม
จะรบกับเด็ก จะกรีฑาทัพบดขยี้ประชาชนมือเปล่าอีกหรือคนเก่ง !?!!!