นับแต่วันที่ 24 กันยายน เป็นต้นไป การเมืองไทยได้ทะยานไปสู่มิติที่ทวีความร้อนแรง แหลมคม ภายใต้หัวรถจักรว่าด้วย”รัฐธรรมนูญ”ซึ่ง อยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องยึดโยงอยู่กับ 250 ส.ว.
ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน
คล้อยหลังการเสนอญัตติจัดตั้ง”คณะกรรมาธการวิสามัญ”ศึกษาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ทั้ง 6 ฉบับที่เสนอเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภา
ความแจ่มชัดก็ปรากฏขึ้นในทุกสายตาที่ทอดมองไปยังกระบวนการของ”รัฐธรรมนูญ”
คำถามก็คือ ใครเป็นผู้ลงนามแต่งตั้ง 250 ส.ว.
คำถามก็คือ ใครดำรงตำแหน่งประธานคณะยุทธศาสตร์ ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
การระบุว่าทุกก้าวย่างของการเมืองไทยตกอยู่ภายใต้การขับเคลื่อน ของสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประยุทธ์” ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะมาจากนักเรียน นิสิตนักศึกษา
ถูกต้องอย่างยิ่ง ถูกต้องอย่างถึงที่สุด และเด่นชัดว่าถูกต้องอย่างสิ้นเชิง
คำถามก็คือ สิ่งที่เรียกว่า”ระบอบประยุทธ์”เป็นมาอย่างไร
คำตอบ 1 เป็นมาจากกระบวนการรัฐประหาร ไม่ว่าเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
คำตอบ 1 ยึดโยงอยู่กับ”รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560”แนบแน่น
หากไม่มี “รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560” การสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารก็จะไม่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
การต้าน”รัฐธรรมนูญ” คือการต้าน”ระบอบประยุทธ์”
นับจากวันที่ 24 กันยายนเป็นต้นไป ปลายหอกแห่งการต่อต้านพุ่งเข้าใส่ยอดอกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทั้งหมดนี้นอกจากจะมีจุดเริ่มมาจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 นอกจากจะมีจุดเริ่มมาจากการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรม นูญเมื่อเดือนเมษายน 2560
ยังมีรากฐานมาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
ยังมีรากฐานมาจากการชุมนุมของ”เยาวชนปลดแอก”เมื่อเดือน กรกฎาคม 2563
และวันที่ 24 กันยายน คือก้าวอีกก้าวใหญ่ที่สำคัญ