‘กองทัพไทย’ รับกำลังพลผลัดแรก ชุดที่ 2 จำนวน 77 นายจากเซาท์ซูดานไม่พบติดเชื้อโควิด-19

‘กองทัพไทย’ รับกำลังพลผลัดแรก ชุดที่ 2 จำนวน 77 นายจากเซาท์ซูดานไม่พบติดเชื้อโควิด-19 ส่งกักตัวติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ย้ำต้องส่งไปเพราะเป็นพันธกิจกับสหประชาชาติ ส่วนทหารที่ติดเชื้อชุดแรก เหลือ 29 นาย รพ.พระมงกุฎเกล้า

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง พล.อ.ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด แถลงข่าวการผลัดเปลี่ยนกำลังกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้ทหารผลัดแรก ชุดที่ 2 กลับถึงประเทศไทยแล้ว 77 นาย (ทหาร 76, ตร. 1) เบื้องต้นไม่พบอาการ โดยอุณหภูมิไม่เกิน 37.3 องศา และไม่มีปัญหาเรื่องทางเดินหายใจ จึงส่งไปสถานกักกันแห่งรัฐ ที่ จ.ชลบุรี แล้ว แต่จะติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง สำหรับทหารชุดผลัดที่ 2 จำนวน 273 นาย ได้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่แล้วโดยมีงาน 2 ส่วนคือ 1.ในกองบัญชาการ ที่ต้องทำงานร่วมกับทหารชาติอื่น 2.งานภาคสนาม ที่ต้องสร้างอาคาร สร้างถนน 5 เส้นทาง กว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งทหารทุกนายได้รับการอบรมการป้องกันตัวเองเป็นอย่างดีจากโควิด ดังนั้นงานที่มีความเสี่ยง อย่างงานกิจการพลเรือน จะชะลอไปก่อน เพราะในเซาท์ซูดานมีการแพร่ระบาดค่อนข้างมาก แต่ไม่สามารถระบุจำนวนผู้ติดเชื้อได้ เนื่องจากระบบสาธารณสุข อีกทั้งไม่มีการตรวจคัดกรองที่เป็นทางการ นอกจากนี้ทหารไทยยังมีการปรับระเบียบในการอยู่พื้นที่อย่างรัดกุม ขณะที่กองทัพก็จัดเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการป้องกันโควิด ให้กับเจ้าหน้าที่ทุกนาย ซึ่งหากพบปัญหาโรคโคสิด ก็สามารถติดต่อผ่านระบบ VTC กลับแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้ตลอดเวลา

ด้าน พล.ท.ชายชัญ ติกขะปัญโญ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังพลผลัดแรกที่เดินทางกลับมาเมื่อ 22 ก.ย.2563 พบว่าติดเชื้อโควิด 32 นาย และเข้ารักษาคตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งมีหอผู้ป่วยแยกเฉพาะ ล่าสุดมีผู้รักษาตัว 29 ราย แต่ไม่มีอาการ อีก 3 ราย ผลตรวจเป็นลบ 2 ครั้ง จึงส่งกลับไปกักตัวดูอาการอีก 30 วัน ที่โรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จ.ราชบุรี ทั้งนี้ การจะให้ออกจากโรงพยาบาลได้ จะต้องตรวจพบเชื้อเป็นลบถึง 2 ครั้ง จากนั้นต้องไปกักตัวอยู่ที่หน่วยอีกจนครบ 30 วัน ส่วนผู้ที่ไม่พบเชื้อ ก็ต้องกักตัว 14 วัน แล้วเมื่อกลับไปยังหน่วยต้นสังกัดต้องกักตัวอีก 14 วันเช่นกัน

Advertisement

รอง ผบ.ทสส.ยังย้ำถึงการปฏิบัติภารกิจว่าเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพันธกรณีที่รัฐสมาชิกของสหประชาชาติจะต้องให้ความร่วมมือ และทหารไทยมีขีดความสามารถที่สหประชาชาติต้องการ อีกทั้งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี 17 ตุลาคม 2560

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image