จิตวิวัฒน์ : วิกฤตวัยกลางคน Midlife Crisis (จบ) ‘กลับคืนสู่การมีชีวิต’

ฉากหลังของความชรา
ในแง่ของการแสวงหาทางวัตถุทางโลก ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ตามที่เราพยายามทำให้เกิด เราจำเป็นต้องจำกัดขีดความสามารถของตนเอง แต่ฉากหลังของชีวิตวัยกลางคนจนถึงจุดสุดท้ายของชีวิต เรามีเวลาจำกัดมากขึ้น รวมถึงข้อจำกัดทางกายภาพ เราจะทุ่มเทกับการแก้ไขหรือพยายามทำให้มากขึ้นอย่างในช่วงอายุ 20 ไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว แต่เราเพิ่งเริ่มต้นชีวิตอีกช่วงหนึ่งด้วยความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด

ทุกจุดเริ่มต้นของชีวิตวัยกลางคนจะมีเบื้องหลังของความชราที่ส่งผลกระทบด้านจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย ความจริงที่ว่าเรากำลังแก่ลงเป็นเรื่องน่าตกใจและอาจจะทวีความรุนแรงขึ้น หรือทำให้ปัญหาแย่ลง เช่น หากจะต้องหย่าร้างในวัย 50 ปี การสูญเสียความสัมพันธ์อาจทำให้รู้สึกถึงการถูกทำลาย ภายใต้ภาพในจินตนาการถึงความโดดเดี่ยว อาจจะรบกวนจิตใจผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความคาดหวังทางวัฒนธรรมของชายสูงอายุที่กำลังมองหาผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า หรือแม้การถูกเลิกจ้างงานเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน อาจก่อความสับสนและความวิตกกังวลจากการสูญเสียสิ่งที่เคยเป็นตัวตนในหน้าที่การงานไป “ใครจะจ้างฉันเมื่ออายุ 55 ปีแล้ว และถ้าหากฉันพบงานใหม่ ฉันจะตามคนรุ่นใหม่ทันไหม”

ช่วงวัยกลางคน เราจำเป็นต้องเปลี่ยนความสนใจของเราให้เป็นสิ่งที่ลุ่มลึกกว่าที่เคย ในที่สุดเราจะพบความจริงและความน่าพึงพอใจมากกว่าความหลงใหลอย่างตอนเป็นหนุ่มสาว และความทะเยอะทะยานที่คอยบังคับเราในอดีต

พื้นฐานของการมีศรัทธา
“ฝูงปลาที่ถูกอวนขนาดใหญ่ลากเป็นระยะทางหลายไมล์ เรือต้องการจับปลาทูน่า แต่บางครั้งโลมาก็ถูกพันเข้าอยู่ในอวนและถูกลากไปพร้อมปลาทูน่า แม่โลมาสามารถกระโดดออกจากตาข่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ลูกโลมาไม่สามารถกระโดดออกมาได้ ลูกโลมาที่ยังอ่อนด้อยจะเริ่มรู้สึกสับสนและหมดหนทางหนี แต่เมื่อแม่โลมาเห็นว่าลูกๆ ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยตัวเอง แม่โลมาจึงกระโดดกลับเข้าไปในตาข่ายเพื่อเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมไปพร้อมกับลูกของมัน”

Advertisement

ความตกใจที่เราพบเมื่อถูกดึงออกจากชีวิตเดิม เหมือนเราติดอยู่ในตาข่ายโดยไร้ทางหลีกหนี เราควบคุมมันไม่ได้ เหมือนถูกขังไว้ในที่แคบๆ เราเริ่มสับสนและถูกลากเข้าไปในสิ่งที่ไม่ได้เลือก เมื่อเผชิญกับแรงกระแทกขนาดใหญ่หรือเล็ก ช่วงเริ่มต้นของวัยกลาง คนเราก็เหมือนลูกโลมา ความสับสนทำให้เรารู้สึกแย่เพราะสิ่งที่เราเคยทำกลับสูญกำลังไป เราได้ออกไปจากพื้นที่ที่เคยปลอดภัย

ส่วนการที่โลมาตัวแม่เลือกกระโดดกลับไปพร้อมจะยอมพ่ายแพ้ต่อตาข่าย เพื่ออนาคตที่ไม่แน่นอน หมายรวมถึงการเสียชีวิตของตัวเองและลูก อนุญาตให้ตัวเองเคลื่อนเข้าไปในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิด

ถึงแม้ตัวตนของเราจะรู้สึกติดขัดกับวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่เสียงภายในอีกส่วนหนึ่งก็กำลังส่งสัญญาณเรียกร้อง
ให้เราเปลี่ยนแปลงตัวตนด้วยสติปัญญาและความรัก คล้ายกับการแสดงออกของแม่โลมา คือสัญลักษณ์ที่สื่อ
ให้เราลองวางชีวิตลงแทนที่จะพยายามเข้าไปจัดการในแบบเดิมๆ นั่นคือการยึดติดในตัวตนเดิม การตระหนักอย่างลึกซึ้งถึงเสียงของชีวิตในอนาคตซึ่งกำลังเรียกร้องให้เราออกจากสิ่งที่คุ้นชิน เราต้องการบทเรียนจากความทุกข์ความกลัวที่มากพอจะส่งแรงผลักมาสู่เรา คล้ายเป็นตัวทำละลายที่สลายวิธีการต่างๆ ที่เราเคยใช้มาก่อน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เมื่อกาลเวลาผ่านไปพร้อมกับการพัฒนาศักยภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะมีพลังงานเพียงพอสำหรับแหวกว่ายเข้าไปในตาข่าย เราจะตระหนักรู้ถึงการมาของประสบการณ์ใหม่ๆ โดยไม่รีบหลบหนี หลีกเลี่ยงอย่างลนลาน ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปและดำรงอยู่มากกว่าการพยายามอยู่ให้รอด

Advertisement

ในการเลือกเคลื่อนตัวเองเข้าไปในตาข่าย เราจำต้องเผชิญกับภาวะตกตะลึง เราต้องพัฒนาศรัทธาพื้นฐานที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผลลัพธ์ที่เกิดจะเป็นประโยชน์ต่อเราเสมอ ศรัทธาแบบนี้มาจากความเชื่อมั่นลึกซึ้งว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ดีงาม วางใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ขอให้เรามีศรัทธาพื้นฐานต่อสรรพสิ่งที่พร้อมจะมอบความอบอุ่นและมีเมตตาต่อมนุษย์ และในส่วนลึกของเราก็รู้ดีว่าภารกิจการเติมเต็มชีวิต คือประสบการณ์ที่ปนเปและผสมผสานที่หลากหลาย

หากการเริ่มต้นของการเดินทางจะถูกประคับประคองด้วยความเชื่อในความดีงาม จะกลายเป็นปัญญาและความเมตตากรุณาของชีวิต และในทางตรงกันข้าม วิกฤตวัยกลางคนได้มาเปิดเผยให้เราเห็นว่าเราขาดพร่องศรัทธาและกรอบจำกัดต่างๆ ที่เรามี ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพชีวิตที่ใหญ่กว่าได้ ตัวตนที่เรายึดถือไว้คือเปลือกนอกที่ปิดบังแกนกลางของชีวิต และความเป็นไปของแรงขับตามธรรมชาติซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เพียงนำเราไปสู่ความเป็นทั้งหมด พร้อมเผยตัวผ่านวิกฤตการณ์และผลักดันให้เราไตร่ตรองแทนที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์

ตลอดเส้นทางการทำงานของวิกฤตวัยกลางคนจนวิกฤตผ่านพ้นไปแล้ว เราจะได้เรียนรู้การเปลี่ยนผ่าน จากการลอกคราบเปลือกนอกไปสู่ใจกลางของเราที่บริสุทธิ์ขึ้น และหากเรามีความจริงใจและกล้าหาญ “ที่จะยอมแพ้พ่าย ศิโรราบต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรา” เราจะกลับคืนสู่การมีชีวิตตามที่แสงพระอาทิตย์จะดับแสงลงในยามค่ำคืนและมีรุ่งเช้าของวันใหม่รออยู่เสมอ

ถอดความจากหนังสือ Hidden Blessings (Midlife Crisis as
a spiritual awakening), Jett Psaris, PhD

จับความโดย
ญาดา สันติสุขสกุล

www.thaissf.org, twitter.com/jitwiwat
สนับสนุนโดย มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image