เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 : เดินหน้าอย่างเข้มแข็ง

เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 : เดินหน้าอย่างเข้มแข็ง

เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่งถึงพัฒนาการของสถานการณ์โควิด-19 หลังข่าวดีที่มวลมนุษยชาติเฝ้ารอมาถึงเมื่อหลายบริษัทยารายใหญ่ของโลกรายงานความคืบหน้าในการทดลองวัคซีนซึ่งมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจมาก ความสำเร็จดังกล่าวผนวกกับข่าวชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาท่านใหม่ ได้ส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 30,000 จุด รายงานล่าสุดของ McKinsey ที่ออกแทบจะพร้อมๆ กับผลการทดลองวัคซีน ได้ระบุว่าผลสัมฤทธิ์ของวัคซีนจะทำให้ความน่าจะเป็นที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศสหรัฐ จะยุติลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เพิ่มสูงขึ้นบนข้อสมมุติฐานว่ามีการกระจายวัคซีนให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าการแพร่ระบาดจะยุติเร็วขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตถึงกระบวนการแจกจ่ายวัคซีนที่อาจต้องจัดเก็บภายใต้อุณหภูมิต่่ำเป็นพิเศษว่าจะดำเนินการได้สะดวกเพียงใดอีกด้วย

ปัจจัยแวดล้อมนี้เป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการฟื้นตัวในภาคเศรษฐกิจจริง โดยตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดในไตรมาสสามของไทยหดตัวลดลงจากปีก่อนเหลือร้อยละ -6.4 จากที่หดตัวถึงร้อยละ -12.1 ในไตรมาสสองซึ่งหากเทียบเป็นการเติบโตแบบปรับฤดูกาลจากไตรมาสก่อนจะเพิ่มถึงร้อยละ 6.5 โดยที่มาสำคัญในการฟื้นตัวมาจากการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าสินค้าและบริการระหว่างประเทศยังติดลบอยู่อีกมาก ดังนั้น ตราบใดที่สถานการณ์การดำเนินชีวิตในประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และยุโรปยังไม่กลับมาเป็นปกติแล้ว การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็จะยังค่อยเป็นค่อยไปคำถามสำคัญในขณะนี้ จึงคือ เราจะปรับตัวอย่างไรในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้โดยขอเสนอค่าตอบที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างเข้มแข็ง จากสองเวทีสัมมนาวิชาการสำคัญ คือ งานสัมมนาวิชาการระดับชาติ โครงการพัฒนาผู้บริหาร หลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือในวันที่ 26 พ.ย.และการประชุมวิชาการประกันสังคม ประจำปี 2563 ในวันที่ 27 พ.ย. ซึ่งได้รับเกียรติร่วมเป็นวิทยากร ดังนี้

ประการแรก ความเข้มแข็งของกลไกสาธารณสุขในระดับท้องถิ่นผ่านความแข็งแกร่งของกองทัพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่าล้านคนทั่วประเทศเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขสู่ความสำเร็จของการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศ โดยท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และท่านรองอธิบดีกรมอนามัยได้สร้างความเชื่อมั่นต่อพวกเราว่าพี่น้อง อสม. ซึ่งมีพื้นฐานการดำเนินการมาหลายทศวรรษ จะช่วยสร้างแบรนด์ให้กับไทยในการเป็นศูนย์กลางความปลอดภัยทางการแพทย์และพร้อมจะดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจทั่วโลกเข้าสู่ไทยหลังการแพร่ระบาดยุติลง ซึ่งจะเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างมั่นคง

Advertisement

ประการที่สอง การสอดรับระหว่างการดำเนินการของภาครัฐและเอกชนเป็นไปอย่างไร้รอยต่อนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเริ่มดำเนินการอย่างตรงจุดเพื่อฟื้นฟูควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงการคนละครึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มขึ้นแต่จะช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าปลีกรายย่อยสามารถปรับตัวเข้าใช้เทคโนโลยีทางการเงินซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างตลาดเพิ่มขึ้นขณะที่มาตรการปรับโครงสร้างหนี้รายบัญชีที่ธนาคารพาณิชย์สามารถทำงานร่วมแก้ปัญหากับลูกหนี้กว่าร้อยละ 94 ในการออกแบบแก้ไขหนี้ให้เหมาะสมกับความจำเป็นเป็นรายตัว โดยไม่ต้องพักการชำระหนี้ทั้งกระดานอันอาจเป็นผลเสียต่อวินัยทางการเงินในระยาวได้ ในด้านภาคอุตสาหกรรม ท่านรองอธิบดีกรมโรงงานได้กล่าวถึงความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นเพื่อเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจหลังได้เปลี่ยนนิยามโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลจากที่เคยมีคนงาน 7 คนขึ้นไป เป็น 50 คนขึ้นไปทำให้โรงงานสามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้นขณะที่ท่านรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้แสดงถึงความพร้อมในการจัดตั้ง F.T.I.Academy เพื่อยกระดับและปรับทักษะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมร่วมกับสิบมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและสามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า

หากเราสานต่อสัญญาณบวกสำคัญ คือ พื้นฐานระบบสาธารณสุขไทยและการปรับนโยบายของรัฐให้สอดประสานกับการเปลี่ยนผ่านของภาคเอกชนให้ยังส่องประกายแห่งความหวังต่อไปหลังวิกฤตโควิด-19 ยุติลงได้จะเป็นปัจจัยหลักในการเดินหน้าอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยไม่แพ้ข่าวดีจากผลการทดลองวัคซีน

ดร.นครินทร์ อมเรศ
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
ธนาคารแห่งประเทศไทย

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image