‘มงคลกิตติ์’ ชี้หนี้ไทยก้อนโต เชื่อ ‘ลุงตู่’ ได้อยู่ต่อจนไทยไปดวงจันทร์ ไร้คนกล้าสานงาน

‘มงคลกิตติ์’ ไลฟ์สด คำนวณ ‘หนี้ไทย’ ก้อนโต แนะ ลดเงินเดือน ขรก. – เชื่อ ‘ลุงตู่อยู่ต่อ’ จนกว่า ส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ได้

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เผยแพร่ภาพสดผ่านเฟซบุ๊ก “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” โดยกล่าวถึงประเด็นหนี้ประเทศไทยที่จะต้องเจอต่อไปในอนาคต

นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า วันนี้ผมโพสต์เฟซบุ๊กแล้วเป็นข่าว กรณีการอยู่ยาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กู้หนี้ต่อไปในอนาคตนจำนวนมาก จนไม่มีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลคนไหนในอนาคตกล้าจะมาสานงานต่อ เพราะหนี้เยอะเหลือเกิน

“พอหนี้เยอะปุ๊บก็ไม่มีใครกล้ามาสานงานต่อ และไม่มีใครอยากมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแล้ว กลายเป็นลุงตู่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปจนชั่วกัลปาวสาน สงสัยลุงตู่จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงประเทศไทยสามารถส่งนักบินอวกาศ สร้างยานอวกาศไปบินโคจรรอบดวงจันทร์และลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้แน่ๆ คือประเทศไทยส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ได้เมื่อไหร่ ก็แสดงว่า เราจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 30 ไม่ใช่ลุงตู่ได้เมื่อนั้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่” นายมงคลกิตติ์กล่าว

นายมงคลกิตติ์กล่าวต่อว่า ณ ปัจจุบัน ก่อนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะเข้ามา (รอบเลือกตั้ง) หนี้สาธารณะของเราอยู่ที่ ประมาณ 6.89 ล้านล้านบาท แต่เมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังวิกฤตโควิด หนี้สาธารณะตอนนี้อยู่ที่ เกือบ 7.9 ล้านล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นมา 1 ล้านล้าน ก็เพราะการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ผสมกับช่วงตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ เราได้จัดงบประมาณขาดดุล ปี 2563 ประมาณ 4.6 แสนล้าน ซึ่งสถานการณ์จริงจะต้องขาดดุลมากกว่านั้น ประมาณ 6 แสนกว่าล้านบาท เนื่องจากเราเจอวิกฤตโควิด ประเทศไทยไม่มีรายรับ เราขาดหายไป 2 จุดด้วยกัน คือ 1.รายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณปีละ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งหายไปเต็มๆ ช่วงปี 2563 คิดเป็นภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ ที่เข้ารัฐบาลราว 4.5 แสนล้าน ก็หายไป 2.รายได้จากการส่งออก ลดลงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ หรือ 3 ล้านล้าน คิดเป็นภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ หายไป ราว 5 แสนล้านบาท ทำให้รายได้ที่ประเทศเราจัดเก็บได้น้อยลงไปประมาณ 1.0 ล้านล้าน พอดีกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ในช่วงกรกฎาคม-ปัจจุบัน ซึ่งยังไม่รวมวงเงินซอฟต์โลน ที่เราปล่อยกู้ให้กับเอกชนในช่วงโควิด ประมาณ 5 แสนล้านบาท

Advertisement

“อีกส่วน คือตัวเลขหุ้นกู้ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าสัวกู้ ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยใช้เครดิตค้ำ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน พ.ร.ก.เงินกู้ยังไม่หมด น่าจะเหลือประมาณ 2-3 แสนล้าน โดยช่วงประมาณกุมภาพันธ์ จะเริ่มพิจารณาว่าจะกู้เงินเสริมสภาพคล่องเท่าไหร่ โดยสถานการณ์โควิด รอบ 2 เป็นประเภทสายพันธ์ GH เคลื่อนที่ กระจายตัวเร็ว แต่ไม่แสดงอาการ รับรองว่าส่งผลต่อเศรษฐกิจ และคิดว่า สิ้นปีงบประมาณ 64 หรือ 30 กันยายน ปี 2564 หนี้น่าจะเพิ่มไปถึง 8.6 ล้านล้านบาท แต่หลังจากนั้น น่าจะทั้งปี 64 เต็มๆ รัฐบาลคงตัดสินใจกู้เงิน 2 ส่วน คือ 1.วิธีคล้ายของเดิม พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ 1.9 ล้านล้านบาท กู้เท่าๆ เดิม แต่ต้องขาดดุลงบ อีกกว่า 7-8 แสนล้านบาท

ในส่วนของปี 65 ด้วย รวม 2.8 ล้านล้าน และเมื่อถึง 30 กันยา 2564 กับวงเงินกู้เดิม ประมาณ 11.3 ล้านล้านบาท จีดีพี คงเละ เปรียบเทียบจากปี 64 คือ 16.8 ล้านล้าน ก็น่าจะลดลง เหลือ 14.5 ล้านล้าน ส่วน จีดีพี ต่อ หนี้สาธารณะ น่าจะทะลุ 80 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน คือสิ่งที่เราจะต้องประสบพบเจอ ซึ่งหนี้ดังกล่าวไม่รวมหนี้ของประชาชน หนี้ครัวเรือน และ หนี้หุ้นกู้ เอาเป็นว่า เราหนี้สินล้นพ้นตัพอสมควร คงต้องขายนู่น ขายนี่ไปเรื่อยๆ” นายมงคลกิตติ์กล่าว และว่า

Advertisement

“ฉะนั้น สถานการณ์ในอนาคตจนสิ้นปี 64-65 ใน 2 ปีหนี้ลุงตู่ ก็คงสร้างไปประมาณ 11.3 ล้านล้าน หนี้ขนาดนี้ ทำให้ผู้บริหารประเทศคนต่อไปต้องคิดหนักว่าจะใช้หนี้อย่างไร เพราะหนี้เยอะ ดอกเบี้ยก็เยอะ ถ้าดอกเบี้ยร้อยละ 2-5 ก็ปีละ กว่า 2 แสนล้าน หรือ 5 แสนล้านบาท แต่สถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ ต่อให้กระตุ้นไป ก็จะจัดเก็บภาษีได้ไม่เกิน 2.4 ล้านล้านบาท แต่มีรายจ่ายประจำ ประมาณ 3.3 – 3.4 ล้านล้านบาท เราก็จะติดลบแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะเราจัดเก็บภาษีได้น้อยลง ถ้าเรามีหนี้ถึง 12 ล้านล้าน เราจะต้องจ่ายภาษีค่าพันธบัตร ปีละ 5-6 แสนล้าน แปลว่า หนี้สินเราจะเยอะมาก ไม่ธรรมดา สุดท้าย ถ้าหนี้เราเยอะขนาดนี้ คงต้องลดรายจ่ายประจำ ถ้าเรายังหาเงินเข้าประเทศไม่ได้ คือ ต้องลดเงินเดือนข้าราชการประจำ 20-30 เปอร์เซ็นต์ทั่วกันทั้งประเทศ ลดเงินเดือน ส.ส. ส.ว. ข้าราชการระดับสูง ต้องลดทั้งหมด เพราะรายจ่ายมีเยอะ รายได้มีน้อย จะไปไม่ได้ คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคต คือสถานการณ์ที่เราจะต้องเจอ”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image