เมย์แบงก์กิมเอ็ง ชี้มาตรการสหรัฐอัดฉีดงบฟื้นศก.อานิสงส์ต่อไทยต้องใช้เวลา

นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินว่า จากการที่นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐฯ American Rescue Plan วงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้แก่ 1.เงินช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบ (Direct Payment) อีก 1,400 เหรียญสหรัฐ รวมของเดิม 600 เหรียญสหรัฐ เป็นวงเงิน 2,000 เหรียญสหรัฐ 2.ช่วยเหลือผู้ตกงานวงเงิน 400 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ และขยายไปจนถึงกันยายนนี้

นายธีรเศรษฐ์ กล่าวต่อว่า 3.เงินช่วยเหลือแก่รัฐบาลท้องถิ่น วงเงิน 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ 4.ช่วยเหลือด้านการศึกษาและสถาบันการศึกาษา 1.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ 5.สนับสนุนเกี่ยวกับการตรวจโควิด-19 วงเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 6.ช่วยเหลือด้านความร่วมมือในโครงการวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับองค์กรต่างๆ วงเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 7.เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง(ชม.) เป็น 15 เหรียญสหรัฐต่อชม. 8.เพิ่มวงเงินการเครดิตคืนภาษีเกี่ยวกับผู้มีบุตรเป็น 3,000 เหรียญสหรัฐต่อคน และ 3,600 เหรียญสหรัฐต่อคน สำหรับบุตรอายุต่ำกว่า 6 ปี ซึ่งแนวโน้มน่าจะดีต่อภาพระยะยาว

นายธีรเศรษฐ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ระยะสั้น ยังมีความเสี่ยง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เป็นบวกต่อ sentiment สินทรัพย์เสี่ยง จาก 1.หนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในระยะยาว 2.เพิ่มสภาพคล่องในระบบ สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี สหรัฐฯที่ดีดกลับทะลุ 1.1% ส่วน Dollar Index อ่อนค่ารอบใหม่ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐถือว่าไม่ได้ตอบรับเชิงบวก จาก 1.มีแรง Sell on Fact จากการเก็งบวกไว้ก่อนหน้า 2.วงเงินการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เหนือความคาดหมาย อีกทั้งต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเล็กน้อย 3. มีโอกาสผู้กำหนดนโยบายการเงินอย่างเฟด จะส่งสัญญาณให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีแรงเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆจนเกิดภาวะฟองสบู่มากเกินไป และนอกจากนี้แนวคิดการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 เหรียญสหรัฐ เป็น 15 เหรียญสหรัฐต่อ ชม. เป็นนโยบายที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Republican โจมตีมาตลอด ว่าไม่ส่งผลดีต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม และขั้นตอนสำคัญในการผ่านมาตรการกระตุ้น 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รอบนี้ ต้องการ 60 เสียง ในวุฒิสภา ซึ่งปัจจุบัน Democrat และ Republican ครองที่นั่งคนละ 50 เสียงเท่ากัน ดังนั้น จึงไม่ง่ายและมีความเสี่ยงที่มาตรการจะสะดุดและยืดเยื้อได้

“แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ความหวัง สู่ ความจริง ภาพตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป น่าจะหันมาให้น้ำหนักกับภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และหันมา selective มากขึ้น โดยเน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรง หรือแนวโน้มกำไรน่าจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นโครงสร้างฟื้นฐาน วัตถุดิบในภาคการผลิต และ อยู่ในห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค-โลก” นายธีรเศรษฐ์ กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image