ผู้เขียน | พรรณราย เรือนอินทร์ |
---|
1 มกราคม พุทธศักราช 2565
ประเทศไทยเข้าสู่ ‘ปีใหม่’ ตามแบบสากล
ตรงกับคริสต์ศักราช 2022
หากนับตามศักราชโบราณที่เคยถูกใช้ในดินแดนแถบนี้ ย่อมได้แก่ มหาศักราช 1944 และจุลศักราช 1383-1384
สนั่น ธรรมธิ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายว่า ที่จุลศักราชคาบเกี่ยว เพราะจะมีการเปลี่ยนศักราชในช่วงสงกรานต์ เริ่มต้นวันเถลิงศก 16 เมษายน 2565 จึงค่อยเปลี่ยนศกเป็นจุลศักราช 1384
เท่ากับปี ‘ขาล’ ตามอย่างขอมพิสัยไทยภาษา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา
มีสัญลักษณ์ คือ ‘เสือ’
ส่วนปี ‘หนไท’ ตามปฏิทินเดิมที่เคยใช้ในวัฒนธรรมล้านนาและหลากพื้นที่ในดินแดนที่มีผู้คนพูดภาษาตระกูลไท ตรงกับปี ‘ปีร้วงเป้า จุลศักราช 1383 – ปีเต่ายี จุลศักราช 1384
ทอง โรจนวิภาค เขียนบทความเผยแพร่ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรมตั้งแต่ พ.ศ.2538 ว่า ชื่อปีของไทยคือ ชวด ฉลู ขาล ฯลฯ นี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงสนพระทัยมาก ในสาส์นสมเด็จ สาส์นของพระองค์ท่านที่ทรงมีไปมาติดต่อกับท่านเสฐียรโกเศศ หรือพระยาอนุมานราชธนหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ปราชญ์ทั้ง 2 ไม่มีมติว่าชื่อปีขาลมาจากภาษาใด แต่ ทอง เจ้าของบทความดังกล่าวเสนอความเห็นว่า ‘ใกล้มาทาง ขลา หรือ คลา ของเขมร ซึ่งแปลว่า ‘เสือ’
ในขณะที่ปีเดียวกันนี้ในภาษามอญ เรียก ‘แกระ’
‘พระธาตุช่อแฮ’ จังหวัดแพร่ คือพระธาตุประจำปีขาล
ทั้งนี้ กว่าคนไทยจะตีพิมพ์คำว่าปีใหม่ในปฏิทินที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อราว 8 ทศวรรษที่ผ่านมา กล่าวคือ หากย้อนเวลากลับไปไกลกว่านั้น คนไทยไม่เคยกู่ร้องคำว่า ‘สวัสดีปีใหม่’ ในวันแรกของเดือนมกราคม เพราะปีใหม่เดิมของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ‘อุษาคเนย์’ คือเดือนเมษายน
โดยในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา แต่ไม่ได้เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลาย
ต่อมาในช่วงหลัง ‘อภิวัฒน์สยาม’ เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย มีการประกาศให้มีงานรื่นเริงในวันขึ้นปีใหม่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2477 ที่กรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรก ก่อนกระจายไปยังในต่างจังหวัด
หลังจากนั้นได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งมี หลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธาน มติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2484 เป็นต้นมา หรือเมื่อ 81 ปีก่อน
พระราชบัญญัติ ‘ประดิทิน’ พุทธศักราช 2483 ซึ่งปรากฏในราชกิจจานุเบกษา คือ พยานหลักฐาน
กล่าวโดยสรุปคือ สมัยรัชกาลที่ 5-รัชกาลที่ 8 ปีใหม่คือ 1 เมษายน นับแต่ พ.ศ.2432-1 เมษายน 2483
ก่อนคติปีใหม่เดิมของคนไทย ไม่มีสำนึกเรื่องปีใหม่แบบสากล ทว่า รู้จักการเปลี่ยนปีนักษัตร ตอนขึ้นเดือนอ้าย หลังลอยกระทงเดือน 12 ซึ่งตรงกับปฏิทินสากลราวเดือนพฤศจิกายน รับรู้เรื่องการเปลี่ยนผันจากฤดูกาลต่างๆ ไปสู่อีกฤดู
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยมีข้อเขียนเจาะลึกรายละเอียดลงไปว่า รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนปีจากการใช้ จุลศักราช เป็น รัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2432 คือเป็น ร.ศ.108
รัตนโกสินทร์ศก วันแรกปีแรกคือวันที่ 1 เมษายน ร.ศ.108 (พ.ศ.2432) หรือเพียง 3 วันหลังการ ‘ประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่’ และอย่างสอดรับกับวันเปลี่ยนปีศักราชแบบเดิม เพราะวันนั้นก็เป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ด้วยเช่นกัน
นับแต่นั้นมา รัชกาลที่ 5 ก็ทรงให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนปีศักราชของรัตนโกสินทร์ศก ทุกๆ ปี
ทว่าเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 6 พระมงกุฎเกล้าฯ ได้ยกเลิกการใช้ รัตนโกสินทร์ศก สร้างศักราชใหม่เป็น พุทธศักราช โดยกำหนดให้ปี พ.ศ.2456 เป็นปีแรก โดยยังคงใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันเปลี่ยนปีศักราชเช่นเดิม
‘ประกาศวิธีการนับวัน เดือน ปี’ มีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 131 เท่ากับพุทธศักราช 2455 อีกเดือนกว่า ต่อมา ไทยก็เริ่มเข้าสู่การใช้พุทธศักราชวันแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2456
เท่ากับว่า รัตนโกสินทร์ศก มีอายุระหว่างปี 2432-2455 เพียง 24 ปีเท่านั้น คือ ร.ศ.108-ร.ศ.131
ต่อมาใน ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ปีใหม่แบบสากลครั้งแรก เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 มาถึงทุกวันนี้
ปรากฏหลักฐานในราชกิจจานุเบกษา พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระบรมราชโองการให้ตรา ‘พระราชบัญญัติปี ประดิทินพุทธศักราช 2483’
ดังนั้น ใน พ.ศ.2483 จึงไม่ได้มี 12 เดือน แต่มีเพียง 9 เดือนเท่านั้น คือ เดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม เพราะ 1 มกราคม พ.ศ.2484 นับเป็นวันขึ้นปีใหม่
สำหรับ ‘ปฏิทินฝรั่ง’ ที่ตีพิมพ์บนกระดาษ ก่อนยุคที่ผู้คนจะก้มหน้าดูวัน-เวลาผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ปรากฏในสยามตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเกิดขึ้นก่อนไทยจะหันมาใช้ปีใหม่แบบสากลเมื่อ 8 ทศวรรษที่แล้ว เนื่องจากเป็นการที่ ‘ฝรั่งพิมพ์ปฏิทินฝรั่งในไทย’ นั่นเอง
ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงค่อยมีการพิมพ์ปฏิทินให้เป็นภาษาไทย จากเดิมที่ใช้เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่ เดือนห้า ก็ปรับเป็นชื่อเดือนภาษาฝรั่ง อย่าง แจนยูอารี แฟบยูอารี มาร์ช กระทั่งพิมพ์ชื่อเดือน 12 เดือน ในภาษาไทยว่า มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ฯลฯ
สำหรับปีแรกซึ่งรัชกาลที่ 5 ให้ใช้ รัตนโกสินทร์ศก 108 ก็ทรงให้ใช้เดือนเรียกแบบฝรั่งที่แปลงแล้ว สำหรับใช้เป็นปฏิทินของราชการด้วย นับแต่นั้นมาปฏิทินแบบฝรั่งก็เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคนไทยมากขึ้นตามลำดับ
ครั้นประเทศไทยหันมาใช้วันขึ้นปีใหม่ตามอย่างสากล ปฏิทินฝรั่งและปฏิทินไทยก็หลอมรวมกันได้อย่างลงตัวแนบสนิท โดยมีอะไร ‘ไทยๆ’ และ ‘จีนๆ’ ประกอบลงไปให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตมากยิ่งขึ้น ทั้งวันหยุด วันสำคัญ ฤกษ์งาม ยามดี ปีชง วันหยุดราชการ และอื่นๆ อีกมากมายสะท้อนการปรับตัวสู่ความศิวิไลซ์
ประดิทินสากล จึงถูกใช้ในแผ่นดินสยามนับแต่นั้น จวบจนวันนี้ วันแรกของปี 2565 สืบไปเมื่อหน้า
พรรณราย เรือนอินทร์
พระเทพปฏิภาณวาที
‘เจ้าคุณพิพิธ’
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะเขตดุสิต