เดินหน้าชน : ต้อง‘เติมเงิน’

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยตอนนี้ บอกได้คำเดียวว่าเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาไม่หยุดหย่อน จากเรื่องการเมืองมาเจอโควิด ซ้ำด้วยปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครน

เรียกได้ว่าโดนกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจนหรือรวย

ไม่ต้องไปดูใครอื่นไกล ขนาด “เจ๊เกียว” นางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส.และเจ้าของอู่เชิดชัย และบริษัทเดินรถเชิดชัยทัวร์

ใครๆ ก็รู้ว่า “เจ๊เกียว” มีฐานะร่ำรวยขนาดไหน มีนิสัยใจคอประหยัดมัธยัสถ์เบอร์ไหน ยังออกมาร้องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

Advertisement

“เจ๊เกียว” บอกว่า ทั้งสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 รวมทั้งค่าน้ำมันดีเซลแพงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเดินรถได้รับผลกระทบอย่างหนัก เชิดชัยทัวร์มีรถอยู่กว่า 200 คัน วิ่งทั้งสายอีสาน ตะวันออก กลาง และเหนือ ตอนนี้เหลือรถวิ่งอยู่แค่ 20-30% เท่านั้น

อีกประมาณ 70% ต้องหยุดวิ่ง จอดรถทิ้งไว้ที่อู่มานานกว่า 2 ปีแล้ว เพราะขาดทุน เนื่องจากไม่มีผู้โดยสาร และค่าน้ำมันแพง วิ่งรถไม่คุ้มค่าโดยสาร โดยเฉพาะรถวิ่งสายยาว กรุงเทพฯไปจังหวัดต่างๆ ทั้งอีสานและเหนือ ตอนนี้หยุดวิ่งเกือบ 100% เหลือเพียงสายสั้น กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และภาคตะวันออก

เนื่องจากว่าหากนำรถออกวิ่งทุกคัน ต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4 ล้านบาท อีกทั้งค่าแรงคนงานค่าจ้างพนักงาน จิปาถะต้องจ่ายอีกจำนวนมาก

Advertisement

“เจ๊เกียว” เล่าย้อนให้ฟังว่า บริษัทเชิดชัยทัวร์ ประกอบธุรกิจรถร่วมโดยสาร บขส.มานานกว่า 65 ปีแล้ว ช่วงตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา เริ่มประสบกับปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง จนกระทั่งมาเจอโควิด-19 และค่าน้ำมันดีเซลแพงขึ้นขณะนี้ ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ตนเองจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกประกอบธุรกิจรถโดยสาร บขส. ขายบริษัทเชิดชัยทัวร์ออกไป เพื่อไม่ให้กระทบกับธุรกิจอื่นๆ แม้ว่าจะรู้สึกเสียดาย แต่เรื่องธุรกิจหากทำต่อแล้วมีแต่ขาดทุน ก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปทำไม

ขนาด “เจ๊เกียว” ยังไม่รอด ถามว่าผู้คนอีกกี่ล้านคนจะไม่รอดบ้าง

แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลพยายามเข็นมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ออกมา แต่เป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง

แต่ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากเดือดร้อนอย่างหนักจากสถานการณ์ในตอนนี้ และต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

คนในรัฐบาลชอบออกมาพูดว่า ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบ แต่ทั่วโลกก็เดือดร้อนเช่นกัน

คนในรัฐบาลใครพูดแบบนี้ น่าจะพาไปสมัครเป็นสาวกของ “สำนักแหวะ” ของ “เฮียโจเซฟ” ไปกินฉี่ กินอึ กินขี้ไคล ถ้าจะดี

เพราะเป็นการพูดแบบเอาสีข้างเข้าถู ไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะมีรัฐบาลไว้ทำพระแสงของ้าวทำไม

เห็นด้วยกับแนวคิดของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล

รวบรวมข้อมูลให้เห็นว่า เดือนเมษายน 2565 มีการปรับขึ้นราคาสินค้าแบบหน้ากระดาน 270 กว่ารายการ มีรายการใหม่เพิ่งปรับขึ้น 182 รายการ

แต่เมื่อเข้าสู่เดือนพฤษภาคม พบว่าสินค้ากำลังทยอยปรับราคาขึ้นแบบหน้ากระดาน ขนาดมาม่า แม้รัฐบาลจะขอร้องผู้ประกอบการให้ตรึงราคา แต่ก็อั้นไม่ไหวแล้ว

ศิริกัญญาบอกว่า การขึ้นราคาสินค้าแบบหน้ากระดานน่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง พิสูจน์ให้เห็นว่ามาตรการรัฐบาลตอนนี้ คือการอุดหนุนเฉพาะบางสินค้าจนอุดหนุนไม่ไหว เพราะไม่ได้มีปัญหาเฉพาะราคาพลังงานเท่านั้น แต่สงครามยูเครน-รัสเซีย ยังทำให้ราคาอาหารสัตว์และสินค้าอื่นๆ พุ่งขึ้นไปด้วย

และนี่จะไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการขึ้นราคาสินค้า ฝั่งต้นทุนของผู้ประกอบการ ขึ้นไปถึง 12.8 เปอร์เซ็นต์ การที่ราคาสินค้ายังไม่ขึ้นตอนนี้ ฝั่งผู้ประกอบการเป็นผู้แบกรับ แต่ไม่สามารถส่งผ่านราคามาที่ผู้บริโภคได้ เนื่องจากกำลังซื้อหดหายหรือหากขึ้นราคาก็ขายไม่ได้อยู่ดี จึงเป็นภาวะเศรษฐกิจน่าจะมีการชะลอตัวอย่างมากจากปัญหาค่าครองชีพ

ศิริกัญญาเสนอว่า จำเป็นต้องเติมเงินทางฝั่งรายได้ใส่กระเป๋าประชาชน โดยการช่วยเหลือค่าครองชีพโดยตรง 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเงินสดหรือเติมผ่านแอพพ์ แบบที่รัฐบาลถนัดก็ได้ ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เนื่องจากสินค้าขึ้นราคาหน้ากระดาน ไม่สามารถช่วยเหลือเป็นกลุ่มๆ แบบเดิมอีกต่อไป

ถ้าเราเติมค่าครองชีพให้ประชาชน ธุรกิจรายเล็กรายย่อยที่รับสินค้ามาราคาแพงอยู่แล้ว ก็จะสามารถขายราคาที่แพงขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ได้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะงักงันแบบทุกวันนี้

กล้าๆ หน่อย “รัฐบาลประยุทธ์”

สุรพล สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image