ตำรวจไซเบอร์ทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุนขุด “คริปโทเคอร์เรนซี ” P Miner ยึดรถหรูอายัดเงินกว่า 200 ล.

เมื่อวันที่ 6 กันยายน พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท. ร่วมกันแถลงข่าวทลายเครือข่ายหลอกลงทุน P Miner ตรวจยึดของกลางจำนวนมาก สืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือน ม.ค.65 ผู้ต้องหากับพวกร่วมกันโฆษณาชักชวนหลอกลวงประชาชนทั่วไปผ่านเฟซบุ๊ก และกลุ่มไลน์ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ คริปโตเคอร์เรนซี่ กรุ๊ป ให้สมัครเป็นสมาชิก และร่วมลงทุนขุดเหรียญ และเทรดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ตามโครงการต่างๆ มากกว่า 30 โครงการ ตัวอย่างเช่น ลงทุนทำระบบ ETH, ลงทุนทำระบบ 3m, โปรเจคยินดีต้อนรับ, Go to laos เป็นต้น โดยแต่ละโครงการจะมีจำนวนเงินการลงทุน และได้รับผลกำไรที่แตกต่างกัน เช่น หากลงทุน 50,000 บาท จะได้รับการคืนทุน 5 ครั้ง ทุกวันที่ 6 ของเดือน โดยแบ่งเป็นงวดๆ ละ 8,000 บาท 13,000 บาท 16,000 บาท 20,000 บาท และ 24,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 80,000 บาท บางโครงการอ้างว่ากำไรมากถึงร้อยละ 82 ต่อเดือน หรือกำไรร้อยละ 1,000 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายจะพึงจ่ายได้

พล.ต.ท.กรไชย กล่าวว่าจากนั้นเมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแล้วก็จะได้รับหนังสือสัญญาการลงทุน ซึ่งในสัญญาจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อโครงการที่ลงทุน จำนวนเงินที่ลงทุน ระยะเวลาที่ลงทุน จำนวนครั้งและจำนวนผลตอบแทนที่จะได้รับเงินกลับมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่ามีการลงทุนจริง ทั้งนี้ในช่วงแรกๆการเริ่มลงทุน ผู้เสียหายจะได้รับผลตอบแทนกลับมาบางส่วนจริง
ต่อมาเมื่อเดือน ส.ค.65 ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนแต่อย่างใด ผู้ต้องหาอ้างเหตุขัดข้องต่างๆ และไม่สามารถติดต่อได้ในเวลาต่อมา ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวงจึงมาแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายปัจจุบันมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ thaipoliceonline.com แล้วกว่า 341 ราย ความเสียหายรวมกว่า 439 ล้านบาท ทั้งนี้มีผู้เสียหายบางส่วนเข้าแจ้งความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) อีกส่วนหนึ่งประมาณ 500 ราย จากนั้นเมื่อวันที่ 28 ส.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนและรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย ข้อหา 1.ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน 2.ร่วมกันโฆษณา หรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปว่า ในการกู้ยืมเงิน ตนหรือบุคคลใดจะจ่ายหรืออาจจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ตามพฤติการณ์แห่งการกู้ยืมเงิน ในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงิน 3.ร่วมกัน โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน

ผบช.สอท. กล่าวอีกว่านอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ตรวจยึดของกลางที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิดหลายรายการ อาทิเช่น รถยนต์ ยี่ห้อ เบนท์ลี่ย์ เบนเทย์ก้า, ยี่ห้อ ลัมบอร์กีนี ฮูราคาน, ยี่ห้อ เฟอร์รารี่ สไปเดอร์, ยี่ห้อพอร์เชอ 718 บ็อกสเตอร์, ยี่ห้อ บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์โฟร์, รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮาร์ลีย์ เดวิดสัน, เครื่องขุดเหรียญดิจิทัล 50 เครื่อง อีกทั้งยังสามารถอายัดเงินในบัญชีของขบวนการผู้ต้องหาได้ 117 บัญชี อายัดเงินในบัญชีได้กว่า 112 ล้านบาท

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image