สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ โดย วสิษฐ เดชกุญชร

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร

เมื่อผมได้รับแต่งตั้งเป็นนายตำรวจราชสำนักประจำในปี พ.ศ.2513 นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯทรงมีพระชนมายุได้ 18 พรรษา และมิได้ประทับอยู่ในประเทศไทย แต่เสด็จฯไปทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้ว และเสด็จฯกลับมายังประเทศไทยเป็นครั้งคราวเวลาโรงเรียนปิดภาคการศึกษา พอทรงสำเร็จการศึกษาที่ประเทศอังกฤษแล้ว ก็เสด็จฯไปทรงศึกษาวิชาทหารต่อที่ประเทศออสเตรเลีย จนกระทั่งปี 2521 จึงเสด็จฯกลับมายังประเทศไทย ผมจึงมีเวลาได้ทำหน้าที่ถวายเป็นเวลาเพียง 3 ปี ก่อนที่ผมจะย้ายกลับไปรับราชการในตำแหน่งอื่นที่กรมตำรวจในปี 2524

แต่แม้จะได้อยู่ใกล้พระยุคลบาทเพียง 3 ปี ผมก็ได้เห็นและรู้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯทรงมีพระนิสัยไม่ถือพระองค์ พระราชทานความสนิทสนมแก่ข้าราชบริพารอย่างเป็นกันเอง เราขานพระนามพระองค์ว่า ทูลกระหม่อมชายŽ เช่นเดียวกับ ทูลกระหม่อมหญิงใหญ่Ž (ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ) ทูลกระหม่อมน้อยŽ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) และ ทูลกระหม่อมเล็กŽ (สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ) ทูลกระหม่อมชายทรงใช้สรรพนามแทนพระองค์ว่า ผมŽ กับทุกคน ทรงเรียกผมว่า คุณวสิษฐŽ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผมนั่งรับพระราชทานอาหารที่โต๊ะเสวยบ่อยๆ และเป็นที่เห็นได้ชัดว่าทรงมีพระอารมณ์ขัน โปรดที่จะตรัสเรื่องเบาๆ และชวนหัวเกือบตลอดเวลา

แต่ในขณะเดียวกันทูลกระหม่อมชายก็ทรงอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด และโปรดที่จะให้ข้าราชการทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ถวายอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน ทรงตรวจตราการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นด้วยพระองค์เองเสมอ และหากปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดย่อหย่อนหรือละเมิดระเบียบวินัย ก็จะทรงลงพระราชอาญาด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ในพระราชสำนักจึงต้องระวังตัวและรักษาระเบียบวินัยอยู่ตลอดเวลา ผมมีโอกาสได้ตามเสด็จฯเวลาทูลกระหม่อมชายเสด็จฯไปทรงประกอบพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมประชาชนต่างจังหวัดไม่หลายครั้งนัก แต่ทุกครั้งที่โดยเสด็จฯก็เห็นว่าทูลกระหม่อมชายทรงปฏิบัติพระองค์เช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนอย่างใกล้ชิด และพระเนตรไว ทอดพระเนตรเห็นราษฎรที่เจ็บไข้โดยไม่ต้องให้มีใครกราบบังคมทูล และเมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือทันที เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติ

Advertisement

ทูลกระหม่อมชายทรงเป็นนักรบทั้งในทางทฤษฎีและการปฏิบัติ ทรงสนพระราชหฤทัยในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารและตำรวจมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาวิชาทหารและทอดพระเนตรกิจการทหารในประเทศต่างๆหลายประเทศ ทรงรับการฝึกโดดร่มจากค่ายนเรศวร (กองกำกับการสนับสนุนทางอากาศ) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนเป็นแห่งแรก และทรงสำเร็จการฝึกในปี พ.ศ.2514 ต่อจากนั้นจึงเสด็จฯไปทรงฝึกโดดร่มกับทั้งทหารบกและทหารเรือ ในปี 2523 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือ ได้ถวายการฝึกหลักสูตรผู้ควบคุมการโดดร่มแด่ทูลกระหม่อมด้วย

ทูลกระหม่อมชายทรงกล้าหาญและไม่ทรงกลัวอันตราย ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2519 ได้เสด็จฯไปทรงเยี่ยมฐานปฏิบัติการที่บ้านหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นฐานหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีการสู้รบอยู่ตลอดเวลา ทูลกระหม่อมได้เสด็จฯออกลาดตระเวนร่วมกับทหาร เพื่อพิสูจน์ทราบจุดที่ผู้ก่อการร้ายอาจใช้ซุ่มยิง และประทับแรมที่ฐานนั้น รุ่งขึ้นยังเสด็จฯเยี่ยมราษฎร และรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ซ่อมแซมบ้านเรือนของราษฎรที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ ทำให้ทั้งราษฎรและเจ้าหน้าที่มีขวัญและกำลังใจมากขึ้น

ทูลกระหม่อมชายทรงบริหารพระวรกายเป็นพระนิสัยด้วยการวิ่งและบางครั้งก็ทรงกีฬาฟุตบอลร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะฉะนั้นจึงทรงมีพระวรกายแข็งแรง คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั้น หายากที่ร่างกายจะแข็งแรงอย่างทูลกระหม่อมชาย ในโอกาสที่ทรงราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าตั้งแต่นี้ไปพระราชภาระในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์จะต้องหนักหนาสาหัสเช่นเดียวกับพระบรมราชชนก จึงเป็นหน้าที่ของข้าทูลละอองธุลีพระบาททุกคน ที่จะต้องพร้อมใจกันปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนถวายอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อช่วยแบ่งเบาพระราชภาระ

Advertisement

ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายชัยมงคล ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image