คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : ผลโพล การเลือกตั้ง และ‘การผนึกประตู’

 เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา มีการเปิดเผยผลโพลมติชน x เดลินิวส์ที่คาดเดาผลได้ว่าก็คงเป็นไปในทางเดียวกันกับโพลของสำนักอื่นก่อนหน้า คือความนิยมของประชาชนส่วนใหญ่ที่มาร่วมตอบโพลนั้นเทไปให้สองพรรคการเมือง คือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ตามลำดับ

สำหรับคำถามแรกว่าท่านจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับคะแนนมาเป็นอันดับ 1 คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล ร้อยละ 29.42 ตามด้วย น..แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย 

ร้อยละ 23.23 และ นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเดียวกันมาเป็นอันดับสามด้วยเสียงโหวตร้อยละ 16.69 ส่วนอันดับ 4 คือ พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ มีผู้โหวตให้ร้อยละ 13.72 และที่ได้คะแนนโหวตอันดับ 5 คือเสียงของผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครถึงร้อยละ 2.97 ส่วนผู้สมัครชิงชัยนายกรัฐมนตรีรายอื่นๆ ตามมาแบบห่างจนไม่มีนัยสำคัญ 

ส่วนข้อ 2 ที่ถามว่าท่านจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง ก็ปรากฏว่าพรรคการเมืองที่ได้รับการโหวตเป็นอันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย มาที่ร้อยละ 38.89 อันดับ 2 พรรคก้าวไกล ร้อยละ 32.37 อันดับ 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 12.84 และพรรคภูมิใจไทย มาเป็นอันดับที่สี่ด้วยคะแนนโหวตร้อยละ 3.30 ส่วนผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใดมีสัดส่วนร้อยละ 2.21 เป็นอันดับที่ 5 

Advertisement

ผลโพลข้างต้นนี้อาจจะสรุปแบบรวบรัดตัดความได้ว่า ถ้าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมแล้ว พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกันในอีกด้านหนึ่งที่ถ้าจะนับกันจริงๆ ก็ต้องถือว่า พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งที่ 3 เพราะต้องถือว่าผู้ที่โหวตให้คุณแพทองธารและคุณเศรษฐา และต้องรวมถึงคุณ ชัยเกษม นิติสิริ ด้วยนั้น เป็นคะแนนเสียงกลุ่มร่วมกัน (ซึ่งก็ปรากฏจากผลโหวตของพรรคที่รวมกันได้ใกล้เคียงกันคือเกินร้อยละ 38) ซึ่งตรงกับหลายโพลก่อนหน้านี้ 

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้จนถึงขณะนี้ก็ยังมีคนกลุ่มใหญ่เป็นนัยสำคัญที่ยังคงยินดีจะให้คนอย่าง พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องการให้อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนข้างไปอยู่กับฝั่งฝ่ายการเมืองที่พวกเขาไม่ยอมรับ มีผู้ตั้งข้อสังเกตจากโพลก่อนๆ มาว่าแม้คะแนนเสียงส่วนตัวของ พล..ประยุทธ์แม้จะถือว่าสูง แต่สำหรับคะแนนความนิยมของพรรครวมไทยสร้างชาติที่สนับสนุนเขาอาจจะดูไม่ดีมากสักเท่าไหร่ ในหลายโพลก่อนหน้านี้ปรากฏว่าความนิยมส่วนตัวของเขานั้นถ่างทิ้งห่างจากความนิยมของพรรคที่สนับสนุนเขามากพอสมควร แต่สำหรับโพลของมติชน x เดลินิวส์ในรอบนี้ก็ปรากฏว่าคะแนนความนิยมของ พล..ประยุทธ์ซึ่งมีอยู่ที่ร้อยละ 13.72 ใกล้เคียงกับคะแนนความนิยมของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 12.84 โดยตามมาเป็นอันดับที่สามทั้งสองกรณี

ส่วนตัวแล้วคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเพราะคนกลุ่มหนึ่งที่อาจเรียกว่าเป็นคนกลุ่มอนุรักษนิยมที่เคยสนับสนุน พล..ประยุทธ์และเครือข่ายก่อนหน้านี้อาจจะเริ่มตั้งคำถามและไม่ไว้วางใจการบริหารประเทศของเขา โดยเฉพาะในปัญหาสำคัญคือการยอมตามใจพรรคร่วมรัฐบาลให้ดำเนินนโยบายที่ขัดต่อหลักการที่คนฝ่ายอนุรักษ์นี้ยึดถือ ได้แก่ เรื่องที่ทำให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายอย่างไร้มาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ จนในที่สุดให้ผลไม่ต่างจากการเปิดเสรีกัญชาให้เป็นยาเสพติดที่ถูกกฎหมาย ไม่ต่างจากบุหรี่ หรือสุรา คนกลุ่มนี้ในตอนแรกอาจจะยังลังเลที่จะเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติให้ พล..ประยุทธ์ได้ไปต่อ และก็เป็นไปได้ว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจส่วนหนึ่งอาจจะเป็นคนกลุ่มนี้

Advertisement

เพราะอย่างไรก็ตาม บทเรียนจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในปีที่ผ่านมาก็อาจจะทำให้คนกลุ่มดังกล่าวที่แม้อาจจะยังมีความขัดใจกับการบริหารประเทศของประยุทธ์และรัฐบาลที่แล้วอยู่บ้าง แต่ก็คงจะเห็นว่า หากต่างคนยังคงลังเลไปเลือกพรรคต่างๆ จนทำให้เสียงแตกแล้วก็เท่ากับเป็นการตัดความเป็นไปได้ที่ฝั่งฝ่ายทางการเมืองที่พวกเขาเกลียดชังจะเป็นฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล ซึ่งที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องที่พวกเขายอมรับไม่ได้ 

ดังนั้น หากสุดท้ายแล้วคนกลุ่มดังกล่าวก็น่าจะมาร่วมกันกัดฟันเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อสนับสนุนให้ พล..ประยุทธ์ได้ไปต่อ จนเป็นไปได้ที่ผลคะแนนที่พรรครวมไทยสร้างชาติได้รับจากคนทุกกลุ่มในฝั่งฝ่ายนั้นรวมกันอาจจะมากพอที่จะส่งผลให้พรรคนี้ได้เก้าอี้ ส..ในสภาเกินกว่า 25 ที่นั่ง จนมีสิทธิเสนอชื่อ พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกสมัย แต่เช่นนั้นก็จะหมายความว่าคะแนนเสียงของคนกลุ่มดังกล่าวก็จะถูกดึงมาจากพรรคอื่นที่ถูกมองว่ามีแนวทางเดียวกัน เช่น พรรคพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และพรรคขวาตกขอบอย่างไทยภักดี

เหตุที่ความเป็นจริงข้อหนึ่งคือความเกลียดชังนั้นผลักดันการตัดสินใจได้ดีกว่าความรักและความหวัง เพราะความเกลียดชังเป็นไปเพื่อการทำลายล้าง โดยการทำลายล้างมักจะมีจุดร่วมกันชัดเจนพอที่ผู้คนซึ่งเกลียดชังบางสิ่งบางอย่างร่วมกันจะยอมละวางความแตกต่างที่แต่ละคนยึดถือแล้วร่วมมือไปด้วยกันได้เพื่อมุ่งทำลายเป้าหมายเดียวกันนั้น 

ต่างจากความรัก หรือความหวังที่จะสร้าง หรือแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า แต่ภาพของอนาคตที่ดีกว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับแต่ละคนแม้แต่กับผู้คนร่วมฝั่ง แต่ก็ยังต่างแง่ต่างมุมกันออกไปตามแต่อุดมการณ์และความเชื่อ

 บางท่านอาจสัมผัสเห็นได้ตรงกันถึงความคึกคักของผู้คนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดชี้ชะตาที่สำคัญของประเทศ ที่แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจการเมืองก็ยังพูดถึงว่าจะไปเลือกตั้งเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ที่แม้แต่ระบบลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าจะล่มจนมีผู้ที่พลาดไม่สามารถลงทะเบียนได้ตกค้างเป็นจำนวนมาก โดยผู้ที่ควรรับผิดชอบก็ไม่พยายามแก้ไขเยียวยาใดๆ ก็ตาม แต่กระนั้นผู้คนก็ยังไม่ยอมแพ้ หลายคนเปลี่ยนจากเว็บลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าไปเป็นเว็บจองตั๋วเครื่องบินเพื่อให้ได้กลับไปเลือกตั้งยังภูมิลำเนาอย่างที่เหตุอะไรก็ขัดขวางไม่ได้

นั่นเพราะการเลือกตั้งคือการต่อสู้ทางการเมืองตามระบบโดยสันติ และจะส่งผลให้เจตจำนงความต้องการของประชาชนได้แปรเป็นอำนาจทางการเมืองได้อย่างชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่เป็นบทสรุปชี้ชะตาอนาคตต่อไปของประเทศนี้ แบบที่จะแพ้ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ

เพราะถ้าครั้งนี้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในที่สุดก็ยังไม่สามารถคว้าชัยชนะได้อย่างเด็ดขาดจนเกิดกรณีก้ำกึ่งให้กลุ่ม ส..เข้ามาแทรกแซงการเลือกตัวนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง ก็อาจต้องยอมรับว่าประเทศนี้คงจะหมดหวังที่จะกลับมาปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างที่สมควรจะเป็นได้ และคงต้องยกประเทศให้พวกที่เห็นดีเห็นงามกับระบบระบอบรัฐประหารสืบทอดอำนาจนี้ปกครองประเทศแล้วเราก็ทนอยู่กันไปอย่างนั้น

การเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม พ..2566 จึงเป็นศึกตัดสินว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะบรรลุผลได้แค่ไหนเพียงไรด้วยแวบหนึ่งของความคิดจึงพาให้นึกไปถึงภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่นของญี่ปุ่นการผนึกประตูของซุซุเมะ” (Suzume no Tojimari) ซึ่งกำลังฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ในขณะนี้ที่เพิ่งได้ดูไปในช่วงวันหยุดยาว

การผนึกประตูของซุซุเมะ กำกับโดย มาโกโตะ ชินไค ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานเรื่องหลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ” (Kimi no Na wa/Your name) ที่เคยสร้างปรากฏการณ์เป็นกระแสไปทั่วโลก เนื้อเรื่องเท่าที่กล่าวถึงได้โดยไม่เป็นการสปอยล์ให้เสียรสสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ชม คือภาพยนตร์แอนิเมชั่นนี้เล่าเรื่องราวบนพื้นฐานที่ว่าภายใต้เกาะญี่ปุ่นยังมีโลกลี้ลับอีกมิติหนึ่งอันเป็นนิรันดร์ ในมิติโลกนั้นมีหนอนที่นำพาภัยพิบัติมาสู่โลกกายภาพที่พวกเราอาศัยอยู่ 

โดยเจ้าหนอนพวกนี้จะหาช่องทางออกมาจากประตูที่จะสุ่มเกิดขึ้นตามเขตเมืองทิ้งร้าง หรือซากปรักหักพังที่มีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น และถ้ามันออกมาได้ก็จะเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวขึ้นมาแต่จะรุนแรงระดับใดขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้ทำหน้าที่ผนึกประตูที่จะมองเห็น และปิดประตูป้องกันหนอนภัยพิบัตินั้นได้ทันท่วงทีเพียงไร 

ผู้รับหน้าที่ผนึกประตูในเรื่องนี้เป็นชายหนุ่มนามว่า โซตะ ผู้ได้รับสืบทอดภารกิจมาจากบรรพบุรุษ และได้มาพบเจอกับ ซุซุเมะ เด็กสาวผู้มีชะตาต้องกันโดยบังเอิญ และตกกระไดพลอยโจนร่วมกันเดินทางไปผนึกประตูป้องกันภัยพิบัติ รวมถึงค้นหาความจริงที่เชื่อมโยงกับอดีตอันเจ็บปวดของตัวเธอ

สำหรับวิธีการผนึกประตูในเรื่องนี้จะเริ่มด้วยการที่ผู้ผนึกประตูจะต้องพยายามดันประตูที่เปิดออกในโลกกายภาพซึ่งเชื่อมกับโลกมิตินิรันดร์ให้ปิดลง พร้อมกับตั้งสมาธิเพื่อระลึกรับรู้ถึงความทรงจำทั้งหลายของผู้คนที่เคยใช้ชีวิตในพื้นที่นั้น ก่อนจะกล่าวคำอธิษฐานขอพรต่อเทพเจ้าทั้งหลายที่คุ้มครองพื้นถิ่นดินแดนนั้นมานับพันปี เพื่อยืมพลังให้ส่งหนอนแห่งภัยพิบัตินี้กลับไปในที่ที่มันสมควรอยู่ แล้วใช้กุญแจศักดิ์สิทธิ์ล็อกปิดผนึกประตูนั้นไป

ทำให้คิดไปว่าสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้ประเทศเป็นไปในทิศทางอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็อาจคล้ายว่าพวกเรากำลังจะร่วมด้วยช่วยกันผนึกประตูแห่งหายนะบางอย่างได้ด้วยบัตรเลือกตั้งที่จะอยู่ในมือของพวกเราในวันเลือกตั้งนั้น

ก่อนที่จะกาเลือกคนที่รักและพรรคที่ชอบ เราอาจจะตั้งจิตระลึกถึงความทรงจำของผู้คนทั้งหลายที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ผู้คนที่เสียชีวิต เสียกิจการ หรือเสียคนที่รักไปในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาด

โควิด-19 ที่มีต้นเหตุมาจากการบริหารวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพและน่าเคลือบแคลงในระยะแรก นึกถึงภาพของเด็กๆ ทางภาคเหนือที่ต้องเจ็บป่วยจามออกมาเป็นเลือดเพราะฝุ่นพิษ PM2.5 นึกถึงความสูญเสียของผู้คนที่สูญเงินทั้งชีวิตไปจากเหล่ามิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ และผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยที่ต้องล้มหายไป หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขันลงไปเพราะกลุ่มทุนใหญ่ที่สนับสนุนรัฐบาลได้เข้าครอบงำครอบครองธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศได้แบบผูกขาด 

ก่อนจะขอพลังจากบรรดาผู้ที่เสียสละชีวิตและผู้ที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ประเทศมีประชาธิปไตยในทุกยุคทุกสมัย ร่วมกับพลังของปวงชนชาวไทยทั้งหลายที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดที่แท้จริงของประเทศนี้ 

แล้วกาบัตรเลือกตั้ง หย่อนบัตรผนึกส่งหนอนหายนะที่กัดกินประเทศอยู่นี้ให้ลับหายลงไปให้หมด

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image