คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : จะด้วยความหวังหรือความกลัว ก็โปรดแสดงตัวกันออกมา

 การเลือกตั้งล่วงหน้าในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่ชี้ให้เห็นได้ว่า การ

เลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม พ..2566 นี้จะมีความหมายและชี้ชะตาและอนาคตของประเทศนี้ต่อไปแค่ไหน 

สมควรคารวะต่อความพยายามของผู้คนที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าตามที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ เพราะแต่ละคนต้องฝ่าฟันทั้งการจราจรที่ติดขัดเพราะต่างคนต่างพร้อมใจกันออกมาใช้สิทธิ ประกอบกับแสงแดดอากาศที่ร้อนระดับแผดเผากับทั้งจำนวนคนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่มากมาย เป็นลมไปก็มาก โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งแต่ละคนจะต้องใช้เวลาที่หน่วยเลือกตั้งกันร่วม 30 นาทีถึงเกือบชั่วโมง แต่ก็ไม่มีใครท้อถอย หรือยอมแพ้กลับบ้าน บางคนรายงานว่ายอมวนรถหาที่จอดอยู่เป็นนานสองนานเพื่อที่จะได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

นอกจากนี้ที่ก่อนหน้าเคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่ากระแสความต้องการการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่นั้นจะรุนแรงเพียงใด ก็อาจจะไม่สามารถแปรออกมาเป็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ เพราะในที่สุดเมื่อถึงการเลือกตั้งเข้าจริง คนรุ่นใหม่ก็อาจจะนอนตื่นสาย หรือไม่มีความอดทนพอที่จะลากเข็นตัวเองไปได้ถึงหน่วยเลือกตั้ง ซึ่งไม่รู้อันนี้ผู้พูดและพยายามส่งต่อความคิดนี้จะเป็นด้วยเจตนาหมิ่นหยามคนรุ่นใหม่เพราะความหมั่นไส้เพื่อปลอบใจกันเอง หรือแม้แต่ฟังมาแล้วพูดไปจนหลอนกันไป กลัวกันเองก็ไม่รู้ แต่ภาพของคนทุกเพศวัยและแน่นอนว่ารวมถึงบรรดาวัยรุ่นคนหนุ่มสาวที่ถูกปรามาสนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากันอย่างคึกคักเนืองแน่นตั้งแต่เช้าจนถึงปิดหีบ ก็น่าจะทำให้เลิกหลอนลมๆ แล้งๆ ในเรื่องนี้ไปได้ทุกฝ่ายฝั่ง

Advertisement

หนุ่มเมืองจันท์พี่ตุ้ม สรกล อดุลยานนท์ ตั้งคำถามชวนคิดไว้ใน Facebook หลังจากเห็นภาพการเลือกตั้งล่วงหน้าในสื่อต่างๆ ว่า ทำไมคนที่ไปใช้สิทธิถึงมีความอดทนยืนหยัดเพื่อจะได้หย่อนบัตรลงคะแนนถึงขนาดนี้ คนเหล่านี้ต้องการช่วยคุณลุงให้อยู่ต่อไป หรือเขาต้องการความเปลี่ยนแปลงกันนะ

ถ้าจะให้ตอบคำถามของพี่ตุ้ม โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นทั้งสองทาง 

เพราะสำหรับฝ่ายที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแล้ว พวกเราก็รอโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้มานาน ถ้าจะนับจากการตื่นตัวลุกฮือขึ้นแสดงออกถึงความไม่พอใจ รวมถึงเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและทางสังคมในหลายเรื่องของบรรดาเยาวชนและประชาชนทั้งหลายในช่วงปลายปี 2562 ถึงช่วงปี 2564 ที่เหมือนจะซาลงไปในช่วงปีถึงสองปีนี้ แต่การซาลงของกระแสการต่อสู้นี้ นอกจากส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะการปราบปรามด้วยกำลังแบบไม่ได้สัดส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างไร้ความเป็นนิติรัฐนิติธรรมของทางฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐแล้ว ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะผู้คนที่เป็นแนวร่วมในการต่อสู้เล็งเห็นว่าอีกไม่นานก็จะมีการเลือกตั้ง ที่ทุกคนจะได้แสดงอำนาจเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้โดยสงบและสันติตามระบอบประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมาแล้ว และการรอคอยที่ว่านั้นก็จะมาถึงในวันอาทิตย์ที่ 14 นี้

Advertisement

ส่วนฝ่ายที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงเอง นี่ก็จะเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญของพวกเขาเหมือนกัน โดยเฉพาะความรู้สึกว่าฝั่งฝ่ายของตน ผู้คนฝั่งที่มีแนวคิด ความเชื่อ การมองโลกและสังคมในแบบที่พวกเขายึดมั่นกำลังเสื่อมถอยและมีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ ตกเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม หรือบางครั้งอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกถือดี ไม่อยากให้ฝั่งฝ่ายตรงข้ามได้รับการยอมรับว่าแนวคิดความเชื่อของคนพวกนั้นจะเป็นทิศทางที่สังคมและประเทศชาติ

จะดำเนินต่อไป หนทางเดียวที่จะชะลอเวลาที่ตัวเองจะต้องตกเป็นฝ่ายที่ต้องพ่ายแพ้ หรือยอมรับว่าโลกและสังคมไม่เป็นอย่างที่ตนคิดตนเชื่ออีกแล้ว คือการสนับสนุนให้ฝ่ายการเมืองที่มีแนวคิดในทางเดียวกันกับตัวเองยังคงได้ครองอำนาจรัฐต่อไปเพื่อเหนี่ยวรั้งโลกและสังคมในแบบที่ตัวเองยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ 

จากการปราศรัยหาเสียงแบบปลุกระดมกันดื้อๆ โดยมองว่าเด็กและเยาวชนเป็นศัตรู เรียกร้องให้พวกคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลาย ต่อให้เดินไม่ได้ก็ขอให้หามกันมา เข็นกันมาเพื่อไปเลือกให้ผู้สมัครฝ่ายของตนก็ไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เช่นเดียวกับการปล่อยคลิปโฆษณาชวนเชื่อในโค้งสุดท้ายเพื่อสร้างความหวาดกลัวว่า ถ้าปล่อยให้พรรคการเมืองที่ชูคำขวัญการเลือกตั้งว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้วประเทศจะเป็นไปอย่างนี้อย่างนั้นก็เช่นกัน 

โฆษณาชวนเชื่อดังกล่าววาดภาพประเทศไทยแบบฝันร้ายในจินตนาการของบรรดาผู้ที่ยังเชื่อถือยึดมั่นในความคิดเก่าและโลกเก่า ด้วยกลวิธีตรรกะวิบัติทางลาดหายนะ (Slippery slope) โดยอ้างว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นจริง 

ภาพของข้าราชการเกษียณต้องไปนั่งขอทานด้วยหวังที่จะทำให้คนกลุ่มที่เป็นข้าราชการใกล้เกษียณหวาดกลัวกับความเปลี่ยนแปลง ที่ในอีกทางหนึ่งก็เป็นการดูถูกว่าคนที่เป็นข้าราชการในปัจจุบันนี้ไร้ซึ่งทักษะชีวิตและการวางแผนใดๆ ในทางการเงิน ทั้งยังไร้ความสามารถอย่างที่หากรัฐเลิกจ้างแล้วก็เหลือแต่ทางออกที่ต้องไปขอทานเขากิน สร้างภาพว่าหากไม่มีการเกณฑ์ทหารแล้ว ประเทศจะถูกรุกรานโดยไร้ซึ่งทหารป้องกันประเทศ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าประเทศนี้หามีทหารอาชีพที่พร้อมรบแล้วอวดอ้างกันเสมอว่ายอมสละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลีไม่ หรือสร้างภาพว่าการมีเสรีภาพในเนื้อตัวร่างกายแล้วจะถ่ายคลิปโป๊หากินเพราะทำงานประจำเท่าไรก็ไม่รวย ที่เอาจริงแล้วนอกจากจะเป็นการสะท้อนความเหลื่อมล้ำสิ้นหวังที่คนวัยทำงานรู้สึกตรงกันแล้ว ยังแอบสะท้อนให้เห็นว่าสังคมประเทศไทยแบบเดิมของพวกเขานั้นเป็นสังคมขี้เผือกที่คนในที่ทำงานแส่ส่ายคอยเพ่งเล็งกันว่าลูกใครหลานใครจะไปทำอะไรในโลกโซเชียล 

ที่ตลกฝืดแบบทำไปได้ คือการสร้างภาพว่าความเท่าเทียม หรือประชาธิปไตยในบ้านว่าแม่จะทำพะโล้เป็นอาหารเย็นต้องขอมติก่อน ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงในบ้าน หรือครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อันดีอย่างบ้านของเราๆ ท่านๆ ส่วนใหญ่การกำหนดว่าวันนี้จะกินอะไรก็มักจะได้ฉันทามติกันแบบหลวมๆ หรือพอจะรู้กันอยู่แล้ว ไม่ใช่โรงทานที่คนที่ทำอาหารนึกจะทำอะไรก็ทำ ใครอยากกินก็กิน ไม่อยากกินแต่ไม่มีทางเลือกก็ต้องกิน

น่าสนใจว่า โฆษณานี้ออกมาพร้อมกันกับวันที่พรรคก้าวไกลเพิ่งออกคลิปโฆษณาแสดงภาพแกนนำคนสำคัญของพรรคออกมากล่าวแสดงความหวังว่า ประเทศนี้ยังมีความหวังต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และพรรคของพวกเขาจะดำเนินการไปในทางใดเพื่อตอบสนองความหวังเช่นนั้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายดังกล่าวต้องงัดวิธีนี้ออกมาใช้ ก็เพราะไม่ว่าจะประเมินในทางใดแล้วความนิยมของผู้คนที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นมุ่งหมายไปในทางต้องการความเปลี่ยนแปลง และแน่นอนว่าฝ่ายที่ครองอำนาจรัฐอยู่เดิมมาอย่างเป็นเวลาเนิ่นนานเกือบทศวรรษนั้นจะไม่ถูกเลือกให้ไปต่อ อย่างที่แม้แต่จะมีตัวช่วยอยู่แล้วในวุฒิสภาก็อาจจะไร้ประโยชน์ 

แม้แต่ฝ่ายที่พยายามเสนอตัวเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งก็เห็นแล้วว่าขายใครไม่ได้สักกลุ่ม จากท่าทีคาดคั้นของผู้คนในฝ่ายประชาธิปไตยที่เรียกร้องให้พรรคที่ตัวเองสนับสนุนขอให้ตอบชัดๆ ว่าจะร่วมจับมือกับพรรคที่มีส่วนร่วมในการสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหารหรือไม่ จนทางพรรคต้องออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนนั้น กับอีกส่วนหนึ่งก็กลายเป็นว่าคะแนนเสียงของฝ่ายที่สนับสนุนอำนาจเดิมแบบสุดโต่งนั้นมีคะแนนความนิยมพอดูได้กว่า แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการยุติความขัดแย้งด้วยการตัดสินให้จบๆ ไปในการเลือกตั้งครั้งนี้ มากกว่าการเกลื่อนกลืนรอมชอม

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่พวกเขาก็น่าจะรู้แล้วหวาดหวั่นอีกเรื่องหนึ่งด้วยว่า คะแนนเสียงของกลุ่มวัยที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นฐานเสียงของตัวเอง คือคนรุ่นมีอายุวัยเกษียณเองก็เริ่มเปิดใจให้กับพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มุ่งหวังความเปลี่ยนแปลง รวมถึงคะแนนเสียงในเชิงพื้นที่ ก็ปรากฏว่าแม้ในพื้นที่ที่น่าจะเป็นเขตที่พวกเขาจะได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำพอที่จะชนะ เช่น ภาคใต้อย่างภูเก็ต หรือหาดใหญ่ ก็ปรากฏภาพที่ผู้คนนับหมื่นไปร่วมฟังการปราศรัยของพรรคก้าวไกลกันแบบล้นหลามจนต้องถามกันอีกทีว่านี่ภาพจากที่ไหน จังหวัดอะไร ที่กล่าวไปนี้คือข้อมูลและภาพที่ชวนสะพรึงขนลุก หลอกหลอนฝ่ายผู้ครองอำนาจเก่า และผู้คนในโลกเก่า ความคิดเก่า ราวกับเห็นกองทัพปีศาจแห่งกาลเวลา

ดังนั้น ถ้าฝ่ายที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงนั้นเลือกตั้งเพื่อความหวังไม่ว่าจะหวังเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง หรือหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในระดับโครงสร้าง หรือแก้ไขกฎหมายบางเรื่องที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม หรือไม่สอดคล้องกับโลกและสังคมในยุคใหม่ พวกเขาก็เลือกที่จะใช้ความกลัวในการกระตุ้นให้ผู้คนที่พร้อมจะเลือกพวกเขาออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันให้มากที่สุด เหนี่ยวรั้งคนที่ยังลังเลไม่ให้เปลี่ยนใจ และกระตุ้นเตือนให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจแต่มีความกลัวในเรื่องเดียวกันหลบในซ่อนอยู่นั้นตัดสินใจมาอยู่กับฝั่งฝ่ายของพวกเขาในสัปดาห์สุดท้ายนี้

ซึ่งไม่ว่าจะด้วยความหวัง หรือความกลัว อารมณ์ความรู้สึกทั้งสองก็มีพลังใกล้เคียงกันในการผลักดันให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างอดทนและตั้งใจแน่วแน่ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นผลให้เกิดภาพที่เราได้เห็นกันไปในเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา 

เช่นเดียวกับในวันอาทิตย์ที่กำลังจะมาถึงนี้ เชื่อว่าทุกคนพร้อมแล้วที่จะให้คำตอบ ไม่ว่าคำตอบที่จะพาเราก้าวเท้าออกจากบ้านนั้นจะเป็นเพราะความหวังหรือความกลัวก็ล้วนแต่เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมทั้งสิ้น 

จะด้วยความหวังหรือความกลัว ก็โปรดแสดงตัวกันออกมา เพราะในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้วการเลือกตั้งคือวิถีทางในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กำหนดตัวผู้ที่จะเข้ามาใช้อำนาจรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดทิศทางของสังคมรัฐประเทศในอนาคตต่อไปอย่างสงบ สันติ และมีอารยะ 

เราแต่ละคนจะใช้สิทธิของเราเพื่อสร้างโลกใหม่และสังคมใหม่ หรือแม้แต่ฉุดรั้งปกป้องโลกและสังคมที่ท่านคิดว่านี่คือสิ่งที่อยากให้คงอยู่ต่อไปก็ได้ทั้งสิ้น

การกาบัตรเลือกตั้งและนำไปหย่อนลงหีบจึงเป็นการรวมเอาความคิด ความเห็น การต่อสู้ ทุกสิ่งที่เราได้ทำทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ควบแน่นกันเป็นการกระทำที่เราจะกำหนดอนาคตของประเทศชาติร่วมกันเพียงชั่วไม่กี่วินาทีนั้น

ประเทศที่เราจะต้องอยู่ต่อไปนี้จะเหมือนเดิม หรือไม่เหมือนเดิม และถ้าไม่เหมือนเดิมจะเป็นไปในทิศทางไหน เราแต่ละคนก็จะกำหนดกันได้จากการเลือกตั้งในวันอาทิตย์นี้

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image